
กาลเวลาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนรวดเร็วเหลือแสน ยามเมื่อถึงวันหนึ่งซึ่งต้องนั่งเหม่อลอยนึกกลับไปในครั้นอดีต มองเห็นตัวเองเมื่อวันวานยังวิ่งแก้ผ้าโหยงๆ โดดคลอง ลุยโคลนเล่น เสมือนผู้ไม่จำเป็นต้องแยแสสิ่งใดทั้งสิ้น กาลเวลาย่างกลายอย่างผู้ไร้ความเหนื่อยหน่าย ทุกๆ วินาทีผ่านพ้นไปอย่างไม่ต้องรู้สึกต่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ทุกๆ อย่างมันไล่ตามชะตากรรมของมันเอง
ความรู้สึกดีๆ หลายๆ อย่างถูกเก็บรวบรวมไว้อย่างดีในฐานะของ “ความทรงจำ” ให้ใจชื่นบานทุกครั้งเมื่อได้นึกถึงหรือมองย้อนกลับไป บางคนบอก “มันคือความสุขของคนคนหนึ่ง ซึ่งได้มีเวลาขบคิดถึงอดีตอันสุขใจ อดีตซึ่งอบอุ่น และอาจเป็นอดีตซึ่งหล่อหลอมให้คนๆ หนึ่งสามารถกำหนดการเดินทางของตัวเองอย่างสำราญต่อไปในภายภาคหน้า” อดีตของแต่ละคนที่ย่อมแตกต่างกัน ย่อมต้องพบเจอเหตุการณ์ที่ต่างกัน และย่อมต้องถูกปลูกฝังมาด้วยพื้นเพหรือสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันออกไป
เสมือนครั้นก่อน ผมไม่เคยรู้หรอกว่า ทำไมพ่อถึงปลุกผมให้ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เสมอ เพื่อออกเรือหาปลากับพ่อ ทั้งๆ ที่พ่อเองก็รู้อยู่แก่ใจหรอก ว่าผมยังเด็กนัก คงไม่สามารถช่วยอะไรพ่อได้มาก แต่พ่อก็ยังพยายามให้ผมลองจับโน่น ถือนี่อยู่บ่อยๆ หัดให้ผมพายเรือบ้าง ว่ายน้ำบ้าง จนผมเริ่มคุ้นเคยกับลำคลองและการย่ำเดินบนปรักโคลนในป่าชายเลน พ่อสอนให้ผมรู้จักวิธีจับปลาบ้างดักไซปูบ้าง ทั้งสอนให้ผมรู้ถึงช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลง และวิธีใช้เครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ ที่พ่อบอกเสมอ ว่ามันคือความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต “ชาวประมง”
พ่อย้ำเสมอว่า “เหล่านี้ มันคือมรดกเพียงอย่างเดียวที่พ่อได้รับสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ปู่ย่าตายายของเราล้วนผูกพันมากับลำคลองสายนี้ กับผืนป่าชายเลน และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ที่พระเจ้าทรงประทานมา มันคือของขวัญอันล้ำค่าที่ให้เราทั้งหลายได้ดำรงอยู่อย่างผาสุก เราจึงควรเคารพและรู้จักวิธีการใช้สอยอย่างตระหนักถึงคุณค่า”
พ่อบอกเสมอว่ามันจำเป็นที่เราต้องรู้และเคารพต่อวิถีอันดีงาม “เพราะโชคลาภและปัจจัยประทังชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตา ได้โปรยปรายลงมาให้มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั้น มันจะเป็นทิพย์หรือเป็นสิ่งอกุศล ย่อมเกิดจากวิถีที่เราดำรงและการแสวงหา” สิ่งที่พ่อได้รับและพยายามถ่ายทอดให้ผม จึงเป็นหนทางของการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม ตามหลักการของพระผู้เป็นเจ้า มันคือวิถีที่เราต่างต้องยำเกรงต่อพระองค์ และเคารพในความเมตตาที่ทรงประทานแด่ทุกสรรพสิ่ง
พ่อกำชับผมอยู่เสมอหรอกว่า “คนเราจะมีชีวิตที่สงบสุขได้นั้น จำต้องดำรงชีวิตให้สมดุลกัน ระหว่างภาระหน้าที่ที่เรามีต่อครอบครัว การศึกษาหาความรู้ และการยึดมั่นในวิถีทางแห่งศาสนา” ผมเชื่อเสมอในสิ่งที่พ่อพร่ำสอน เพราะมันคือหนทางเดียวที่ทำให้ทุกคนทั้งในครอบครัว และชุมชนของเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และพึ่งพาอาศัยกันอยู่เสมอตั้งแต่อดีตกาล
ผมภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็น “ลูกชาวเล” ได้เกิดมาท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันของญาติพี่น้องในชุมชน ทุกคนต่างทำมาหากินกันบนพื้นฐานชีวิตที่เรียบง่าย เราไม่ได้ฝักใฝ่มากมายกับความเจริญทางด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก”สุขภาวะ” ที่เราทั้งหลายต่างได้รับเป็นพรอันประเสริฐจากพระผู้เป็นเจ้า มันคือแนวทางของผู้ยึดมั่นในศีลธรรมอันดีงามที่คอยค้ำจุนสันติสุขให้กับผองเรา
ย่างเข้าวัยหนุ่ม ชีวิตผมผูกพันมากยิ่งขึ้นกับผืนป่าชายเลน ลำคลอง และความชำนาญในการออกเรือหาปลา คุ้นเคยกับกระแสน้ำขึ้นน้ำลง รวมไปถึงประโยชน์ของพืชและการใช้สอยพันธุ์ไม้แต่ละชนิดในผืนป่าโกงกาง ผมรู้ดีเสมอว่าการที่เราจำเป็นต้องใช้สอยสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความจำเป็นในการดำรงอยู่ เราต้องการไม้จากป่าบ้างในบางครั้งเพื่อการสร้างบ้านเรือน หรือสิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงอยู่ เราก็เข้าไปอย่างเคารพและนอบน้อมต่อคุณค่าของป่า เราไม่เคยใช้ประโยชน์จากป่าในทางธุรกิจใดๆ นอกเหนือจากความจำเป็น เพราะทั้งป่าชายเลน ลำคลองและสัตว์น้ำทั้งหมด ต่างก็ดำรงอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเราที่นี่อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เหล่านี้ เสมือนพื้นฐานชีวิตของคนหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งจำต้องเจริญเติบโตและประสบพบเจอกับชีวิตจริง ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง ความจริงที่เป็นสัจจะ ความจริงที่กำหนดให้ต้องพบเจอ และจะต้องพบเจอฉันใดฉันนั้น
เหมือนที่พ่อพร่ำบอกเสมอว่า “สมัยเด็กพ่อก็ใช้ชีวิตแบบนี้แหล่ะ คนเรามันต้องผูกพันกับความจริง ต้องยอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้น แล้วดำรงอยู่กับมันให้ได้” พ่อย้ำเสมอเหมือนรู้ล่วงหน้าว่า ผมจะเผชิญต่อสิ่งใดบ้างในชีวิตที่ได้เกิดมา
พ่อบอก “ตั้งแต่แกเกิดมา บ้านเราเขาก็อยู่กันอย่างนี้ ทั้งพี่ป้าน้าอา แกก็ต้องอยู่กับลำคลอง กับป่าโกงกาง เพราะเราไม่มีผืนดินเหมือนคนอื่นๆ มีแต่ลำคลองและผืนป่าชายเลนอันกว้างขวางนี้แหล่ะที่เป็นของส่วนรวม ให้เราได้พอมีที่ทางทำมาหากินเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง”
การดำเนินชีวิตทั้งของพ่อและผมจึงผูกพันมากับความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติมาตลอด อาจมีบ้างบางครั้งที่ผมได้ยินพ่อบ่น อยากลองทำสวนทำไร่เหมือนคนบนดอน อยากลองจับจอบจับเสียมแทนไม้พายเรือบ้าง แต่ก็ได้แค่ฝันหรอก เพราะแม้แต่บ้านของเรายังต้องสร้างยื่นออกมาในลำคลอง พอจะมีเนินดินอยู่บ้างเล็กน้อยที่พอให้แม่ได้ปลูกพริก ปลูกตะไคร้ และพืชผักสวนครัวบางส่วน ที่ให้เราพอมีใช้สอยโดยไม่ต้องออกไปซื้อหา จะไปทำกินบนผืนดินของคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะใครๆ ก็จำต้องทำมาหากินเลี้ยงตัว คนอื่นๆ เขาโชคดีที่คนรุ่นปู่รุ่นย่าของเขาพอมีกำลังจับจองที่ดินที่นาไว้สืบทอดมาบ้าง ให้ลูกหลานได้อยู่กินอย่างมีหลักมีฐาน
แต่พ่อก็บอกเสมอว่า “เราไม่ได้เกิดมาด้อยไปกว่าคนอื่นหรอก ชีวิตมนุษย์ไม่ควรผูกมัดตัวเองกับบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นมีแต่เราด้อย ชีวิตเรามันขึ้นอยู่กับการต่อสู้ อยู่กับความมุ่งมั่น เราเกิดมาท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์ และตำรับตำราการทำมาหากินที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ หล่อหลอมเรามาด้วยความจำเป็น “
อดีตของผมจึงเป็นวันวานที่ผูกพันมากับความอดทน ความลำบาก และความเหนื่อย ความจำเป็นสำหรับอาหารแต่ละมื้อ คือสิ่งที่คอยปลุกม่านตาของผมและพ่อตั้งแต่ย่ำรุ่งอยู่ทุกวี่วัน ให้พลันลุกขึ้น จับคันเบ็ด ดักไซปู แจวเรือเข้าไปในลำคลองอันคดเคี้ยว และความรกหนาของป่าโกงกาง ทั้งปลาและปูที่เราได้มาแต่ละวันพอให้เราทั้งครอบครัวได้ยังชีพอยู่เสมอ เวลาที่จะให้ขวนขวายอยากได้สิ่งโน้นสิ่งนี้ในบ้านเราจึงไม่ค่อยมีอย่างคนอื่นๆ
2
ผมมีโอกาสบ้างที่ได้เข้าเรียนเหมือนอย่างคนหนุ่มสาวอื่นๆ ผมเป็นนักเรียนที่จัดอยู่ในประเภทดีพอสมควร จากสายตาของคนอื่นๆ แต่ด้วยโอกาสที่อาจจะน้อยกว่า หลังจากศึกษาจนสำเร็จระดับมัธยมปลาย ผมก็ไม่ได้จากบ้านไปไหน เหมือนอย่างเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งศึกษาหรือทำงานกันอยู่ต่างบ้านต่างเมือง พ่อเห็นว่าดีเสียยิ่งกว่าที่ผมอยู่บ้านช่วยงานพ่อ และผมก็รู้สึกเช่นนั้น ผมอาจจะดูแปลกไปบ้างจากสายตาของเพื่อนคนอื่นๆ ที่รักการแสวงหานอกบ้าน แต่ผมก็รู้สึกดีกับทุกวี่วันที่ได้ดำรงอยู่ร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ญาติพี่น้อง และผืนป่าชายเลนที่ผมผูกพันมาตั้งแต่เด็ก
แต่เมื่อให้มองกลับไปในสมัยเรียนตั้งแต่ต้น ความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในบ้านทำให้คนแม้เพิ่งย่างก้าววัยหนุ่มอย่างผมจำต้องรู้สึก.. พ่อจำต้องออกหาปลาหาปูคนเดียวเสมอ เพราะผมต้องไปโรงเรียน ได้กลับมาช่วยแกบ้างก็ตอนเย็น แม่บอกโชคดีที่ชุมชนเรามีตลาด เพราะมันคือสถานที่เดียวที่เราสามารถนำปูและปลาที่หามาได้ไปแลกกับเงินมาให้ผมได้พกไปโรงเรียนบ้าง ทั้งเหลือจับจ่ายใช้สอยของจำเป็นอื่นๆ เงินค่าขนมของผมแต่ละวันขึ้นอยู่กับจำนวนปลาและปูที่พ่อหามาได้ หากวันไหนที่พ่อล้มป่วยออกหาปลาไม่ได้ ผมก็ต้องลาโรงเรียนเพราะต้องออกเรือหาปูหาปลาแทนพ่อ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ค่าขนมไปโรงเรียนของผม เพราะแม่ก็จำเป็นที่จะต้องซื้อกับข้าว บวกกับเครื่องใช้สอยในบ้านหลายๆ อย่างที่เราซื้อมาเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น เราติดตั้งหลอดไฟเพื่อความสว่างในบ้าน แม่เปลี่ยนมาใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าเพราะเห็นว่ามันรวดเร็วทันใจยิ่งกว่าใช้เตาถ่านอย่างที่เคยทำมา ส่วนเวลาปรุงแกงเราก็เปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สแทน แม่จึงมีเวลามากขึ้นในการมาช่วยผมและพ่อปลดปลาจากร่างแหบ้าง มัดก้ามปูที่เราหามาได้ เตรียมไปขายในตลาด
พร้อมๆ กับความสะดวกหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในบ้าน สิ่งที่ติดตามมาด้วยแต่ละเดือนจึงเป็นใบแจ้งจ่ายค่าไฟและกำหนดผ่อนส่งค่าเครื่องอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่เราจำเป็นต้องมีในบ้านมากขึ้น การออกเรือหาปูหาปลาเพียงอย่างเดียวสำหรับบ้านเราจึงไม่สามารถแลกเงินเพียงพอต่อการดำรงอยู่ได้ แต่มันก็ไม่ถึงกับว่าต้องลำบากมากนัก เพราะโชคดีอีกครั้งที่เรายังมีผืนป่าอันอุดมที่พอให้เราใช้สอยและแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้ การนำไม้โกงกางมาหมกเป็นถ่านคือสิ่งหนึ่งที่หลายๆ ครอบครัวยึดเป็นอาชีพหลัก เพราะสมัยนี้ถ่านไม้โกงกางเป็นที่ต้องการของแม่ค้าแม่ขายในตลาด และโรงงานใกล้ๆ อย่างมาก มันติดไฟง่าย และใช้ได้นาน หน้าบ้านเราก็พอมีพื้นที่อยู่บ้างให้พ่อได้ก่อร่างสร้างเตาเผาถ่าน แล้วให้แม่นำไปส่งขาย รายได้ในบ้านเราเพิ่มขึ้น งานการของพ่อก็ดูเหมือนจะลงตัวมากขึ้น ระหว่างที่เคยรอดักไซปูตอนน้ำลง พ่อก็เข้าไปตัดไม้ในป่าโกงกาง แล้วหั่นเป็นท่อนๆ เตรียมไว้ ใส่เรือกลับมาเข้าเตาเผาที่บ้าน
การที่ได้มีการศึกษาเหมือนอย่างคนอื่นๆ บ้างทำให้ผมพอเข้าใจมากขึ้นถึงความจำเป็นที่ทำให้ผมต้องเลือกเส้นทางในการดำเนินชีวิตกับครอบครัว ธรรมชาติ และแนวทางของศาสนา ทั้งพ่อและผมเห็นตรงกันถึงความจำเป็นเบื้องหน้าที่เราต้องประสบ พ่อบอกเหตุผลที่ผมจำเป็นต้องเรียนมันมากเสียยิ่งกว่าการได้ออกจากบ้านไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ การศึกษาสามารถสอนเราได้หลายๆ อย่างซึ่งสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาประกอบอาชีพต่อไป พ่อเปรียบเทียบลูกคนอื่นๆ ให้ผมฟังเสมอ บางคนเรียนจบออกมาได้ทำงานดีๆ มีเงินมีกินส่งเลี้ยงครอบครัว ยิ่งครอบครัวของเราแล้ว เกิดมาไม่มีสมบัติมากมายเหมือนคนอื่นๆ เราจึงจำเป็นต้องหาเลี้ยงตัวเอง เพื่อคนอื่นๆ ในครอบครัวสามารถพึ่งพิงได้
แต่ตัวผมซิ ผมสุขใจเสียมากกว่า กับการได้นำพาร่างกายของตัวเองตรากตรำทำมาหากินท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์และเพียบพร้อมของธรรมชาติ ผมพอใจกับบรรยากาศเหล่านี้ ความเรียบง่ายที่อุดมไปด้วยความหลากหลายของสรรพชีวิต ต่างดำรงอยู่ร่วมกันด้วยความขัดแย้ง แต่ก็ดำเนินไปอย่างสงบ เช่นเดียวกับญาติพี่น้องในชุมชนของเรา ซึ่งต่างดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมาตั้งแต่ครั้นอดีตกาล ผมหลงใหลความเรียบง่ายที่เราเป็นอยู่เสียยิ่งกว่าการออกจากบ้านไปเผชิญกับความวุ่นวายในเมืองใหญ่ หนทางที่ผมเลือกเลยกลายเป็น การกลับมาอยู่บ้านหลังจากสำเร็จการศึกษาเพียงมัธยมปลาย ผมเข้าใจดีถึงความคาดหวังของพ่อที่ด้นดั้นให้ผมเรียน ถึงแม้ต้องทำงานหนักและมีหนี้สินมากขึ้น
แม้ “การศึกษา” จะเข้ามามีบทบาทมากมายในการก้าวเดินไปสู่ความมั่นคงของผู้คนส่วนใหญ่ แต่เมื่อคิดกลับไปกลับมาหลายๆ รอบ พ่อก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านกับครอบครัวของผมเหมือนเดิม ดำเนินชีวิตอย่างที่เราเป็น และหากินกันอย่างที่เราเป็นเช่นเคยดำรงกันมาตลอด พ่อภูมิใจในตัวผมมากขึ้น เพราะตัวพ่อเองก็บ่นกับผมอยู่เสมอหรอกว่า “หลายๆ อย่างที่บ้านเราเปลี่ยนแปลงไปมาก เราต้องทำงานมากขึ้น เวลาที่จะได้พักผ่อนเหมือนแต่ก่อนมันไม่ค่อยมี การไปมาหาสู่กันกับคนบ้านอื่นๆ พลอยลดน้อยลง”
ผมเห็นด้วยกับทุกอย่างที่พ่อพูดถึง “ชุมชนของเราได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอมจากธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ คนบ้านเราดำรงอยู่ที่นี่อย่างเคารพต่อคุณค่าของธรรมชาติ และการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องตามหลักการของศาสนา เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน หรืออาจจะมีบ้างเป็นเรื่องขัดใจกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ด้วยสายใยที่สานพวกเราไว้อย่างกลมเกลียว กลับเปลี่ยนความบาดหมางให้กลายเป็นมิตรไมตรีที่ต่างก็หยิบยื่นให้แก่กันและกัน” เหล่านี้เสมือนมรดกอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษต่างดำรงไว้ สืบสานกันมาเป็นพลังความดีงามที่คอยค้ำจุน ชุมชนของเราให้เผชิญแต่ความสงบสุข
พ่อตัดสินใจเลิกตัดไม้โกงกางมาเผาถ่าน เพราะเห็นว่าเขาทำกันเยอะ ไม่อยากไปแย่งกับคนอื่นๆ รายได้ที่เคยสร้างความเพิ่มพูนแต่ก่อนจากการเผาถ่าน เริ่มไม่สามารถคาดหวังได้เหมือนอย่างเคย แนวป่าโกงกางหลายๆ จุดกลายเป็นที่โล่งเตียน ปูปลาที่เคยมั่งมีกลับลดจำนวนลง ความผันแปรของสภาพแวดล้อมเริ่มส่อให้เห็นชัดขึ้นถึงสภาพที่ย่ำแย่ลง เศษโฟมและขยะอื่นๆ จากกระชังเลี้ยงปลาที่หลายๆ คนในหมู่บ้านเริ่มทำกันเป็นอาชีพใหม่เกลื่อนกราดเต็มแนวป่าชายเลน ความขัดแย้งกันจากการแก่งแย่งพื้นที่ทำกินของบางคนเริ่มกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างความบาดหมางให้หลายฝ่ายเลิกคบหาสมาคมกัน หลายๆ คนในหมู่บ้านออกไปทำงานในเมือง บ้างไปอยู่เรือพานักท่องเที่ยวตระเวนเกาะ บางคนขายเรือและเครื่องมือทำมาหากินของชาวประมง แลกกับเงินสักก้อนเพื่อเริ่มประกอบอาชีพอื่น ที่ดินหลายไร่ที่เคยใช้เป็นที่ทำมาหากินของบรรพบุรุษถูกนายทุนกวาดซื้อเพื่อขุดบ่อเลี้ยงกุ้ง คนในครอบครัวที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินมีโอกาสทำงานในบ่อกุ้ง รายได้ของหลายครัวเรือนเริ่มมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น บางครอบครัวมีโอกาสซื้อรถยนต์ หรือส่งลูกเรียนกันสูงๆ ยิ่งขึ้น
แต่พ่อก็ยังยืนหยัดออกเรือหาปลาเช่นเดิม พ่อบอกไม่ใช่เพราะความขี้เกียจหรอกที่คอยฉุดรั้งให้พ่อยังคงทำมาหากินแบบเรื่อยๆ เยี่ยงนี้ “พ่อขอใช้ชีวิตเช่นนี้ดีกว่า การได้ผูกพันตัวเองกับการงานแบบพอมีพอกิน การดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามหลักการของศาสนา และการได้อยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่น” พ่อบ่นให้ผมฟังเสมอ
ผมและพ่อมีเวลาคุยกันมากขึ้น ระหว่างการดักไซปูไว้ตอนน้ำลง เรามีเวลาคุยกันนานพอสมควรระหว่างรอน้ำขึ้นและไปเก็บไซ เพราะตอนนี้พ่อก็ไม่จำเป็นต้องไปตัดไม้มาเผาถ่านอีกแล้ว เราชอบคุยกันถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงของชุมชน จากแต่ก่อนที่เคยดำรงอยู่กันอย่างสงบสุขและอุดมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์และการให้ความสำคัญกับหลักคำสอนของศาสนา แต่ก่อนพ่อบอกว่า “คนบ้านเราผูกพันกันดั่งญาติพี่น้อง ก็ด้วยหลักคำสอนของศาสนาที่สอนให้เราต่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ความศรัทธาที่เรามีต่อศาสนาและหลักคำสอนคือพื้นฐานที่ทำให้คนบ้านเราดำรงชีวิตด้วยความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า และความเมตตาของพระองค์ สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนบ้านเราที่ไม่ควรละเลยคือ “โรงเรียนสอนศาสนา” ทุกคนในหมู่บ้านมีพื้นฐานของศาสนาได้คือการที่เรายังมีโรงเรียนสอนศาสนาที่มัสยิด หากวันหนึ่งเราไม่ให้ความสำคัญกับสถานที่ดังกล่าว ความอัปยศและสิ่งอกุศลมากมายจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเรา”
ผมเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ทำไมพ่อถึงกวดขันให้ผมไปโรงเรียนสอนศาสนาที่มัสยิดทุกๆ วันเสาร์และวันอาทิตย์ในวัยเด็ก การถูกฝึกอบรมตั้งแต่เด็กคือพื้นฐานอันมั่นคงที่หล่อหลอมให้ผมดำรงชีวิตได้อย่างถูกต้องตามพ่อบอก
แต่ละเผ่าพันธุ์หรือวงศ์ตระกูลของผู้คน ย่อมมีรูปแบบหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ล้วนแตกต่างกันไป มรดกที่ใช้หล่อเลี้ยงและทะนุถนอมไว้เพื่อการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจึงย่อมแตกต่างกันไป สิ่งที่ผมได้รับจากพ่อด้วยความภาคภูมิใจจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เสมือนเบ้าหลอมที่หล่อเลี้ยงนักสู้คนหนึ่งให้แข็งแกร่งพร้อมเผชิญหน้ากับศัตรู
กาลเวลาหมุนผ่านเลยไปไม่นานหนัก สิ่งที่ส่อเค้าว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น ป่าโกงกางถูกถากถางเป็นพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ไม้จากต้นโกงกางถูกทยอยตัดออกมาเผาเป็นถ่านส่งขายในเมืองใหญ่มากขึ้น บ้างนำไปใช้สอยอื่นๆ สัตว์น้ำที่เคยอุดมสมบูรณ์เริ่มหาได้ยากขึ้น หลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่เคยเปลี่ยน คนในชุมชนแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ตามความเชื่อและรสนิยมของตน ผลกระทบในทางเสื่อมเสียมากมายทยอยเกิดขึ้นต่อคนในชุมชน มัสยิดที่เคยมีผู้คนมาปฏิบัติศาสนกิจกันเนืองแน่นเริ่มร่อยหรอลง โรงเรียนสอนศาสนาก็เหมือนกัน เด็กเล็กๆ เริ่มลดจำนวนลงเมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนในรุ่นผม วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เคยเป็นวันของการเรียนศาสนาถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นวันที่เด็กๆ หลายคนต้องนั่งรถเข้าไปในเมืองเพื่อเรียนกวดพิเศษ เตรียมความพร้อมสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนดีๆ.. ทั้งปลาและปูที่พ่อและผมเคยดักจับกันได้วันล่ะเยอะๆ เดี๋ยวนี้พอมีอยู่บ้าง หรือบางวันเราก็ไม่ได้กลับมาเลย ความหวังจากการเลี้ยงชีพและครอบครัวของเราด้วยอาชีพเดิมเริ่มมีทีท่าว่าจะไปไม่รอด เราเริ่มออกเรือหาปลาจากวันเว้นวันมาสักพัก จนแทบไม่ได้ออกไปเลย เรือถูกนำมาผูกเทียบไว้กับท่าไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนย้ายใดๆ แม่พอมีเงินเก็บอยู่บ้างให้เราได้ซื้อหาข้าวหาปลามากิน แต่เราก็ไม่ได้หมดหวังเพียงแค่นั้น พ่อและผมยังยึดมั่นกับแนวทางเช่นเดิม บ้าน มัสยิด และลำคลองคือสถานที่ที่ผมและพ่อวนเวียนอยู่ทุกวี่วัน ด้วยความหวังอย่างยิ่งต่อความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และความศรัทธาอย่างเอ่อล้นที่ว่า “พระองค์ทรงไม่ทอดทิ้งบ่าวผู้ศรัทธา”
3
ผมไม่รู้หรอกว่า ความรู้อันน้อยนิดในด้านวิชาการของผมจะสามารถตีความหรือทำความเข้าใจกับคำว่า “ทรัพยากรธรรมชาติ” และ “การจัดสรร” มากแค่ไหนในขณะนั้น แต่ที่รู้คือผมได้ยินทั้งสองคำนี้บ่อยขึ้น หลังจากที่เราทั้งหมู่บ้านถูกเรียกให้มาพร้อมกันที่ศาลาประจำหมู่บ้าน พร้อมด้วยกลุ่มคนแปลกหน้าหกคนที่เราไม่เคยเจอมาก่อน พวกเขาแต่งตัวทันสมัยดูเป็นทางการ พูดเก่ง แถมยังมีเครื่องไม้เครื่องมือแปลกๆ หลายชิ้น มานำเสนอเรื่องราวต่างๆ ให้เราได้รับรู้ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ “ทรัพยากรธรรมชาติ”
พวกเขาทั้งหกคนเรียกตัวเองว่า “อาสาสมัครพัฒนาชุมชน” เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเมือง มาที่นี่เพื่อการศึกษาชุมชนและสำรวจพื้นที่เพื่อการจัด “ค่ายอาสาสมัครพัฒนาชุมชน” ซึ่งจะมีนักศึกษาอีกหลายคนมาพร้อมกันที่นี่เพื่อช่วยเหลือชุมชนในการรักษา “ทรัพยากรธรรมชาติ”
ผมไม่รู้มาก่อนหรอกว่า “การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ” จะมีความสำคัญมากแค่ไหน แต่พี่ๆ นักศึกษา ต่างพยายามเล่าให้เราฟังถึงปรากฏการณ์มากมายที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบและความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พวกเขาแสดงให้เราเห็นถึงจำนวนประชากรในโลกที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน และจำนวนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ และค่อยๆ เสื่อโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมไปถึงการอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ผมได้รับรู้มาจากพี่ๆ เหล่านี้ คือความมักง่ายของมนุษย์ที่กระทำต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พวกเขาบอกว่า “ตอนนี้มีการบุกรุกและทำลายทรัพยากรป่าไม้มากขึ้น ระบบนิเวศน์ที่เคยสมดุลกำลังถูกทำลายลง สัตว์ป่าและสัตว์น้ำบางชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ อีกอย่างจำนวนขยะมูลฝอยในชุมชนก็เริ่มที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทั้งในพื้นที่ต่างๆ ของชุมชนรวมไปถึงแม่น้ำลำคลอง เหล่านี้ล้วนส่งผลเสียอย่างยิ่งต่อสภาพแวดล้อมและสุขอนามัยของชุมชน”
ทั้งตัวผมเอง และหลายๆ คนในชุมชน เราไม่เคยรู้กันมาก่อนหรอกว่า เหล่านี้”เกิดขึ้นได้อย่างไร และเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่” เรารู้แต่เพียงว่า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปรียบเสมือนคลังชีวิตของเรา เราอยู่ไม่ได้ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้... จนเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทางเลือกเดียวที่เราจำเป็นต้องร่วมมือกับเหล่านักศึกษา คือการร่วมกันศึกษาถึงแนวทางและหลักการปฏิบัติ เพื่อให้รู้ทันสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และหาทางแก้ไขตั้งแต่ต้นตอของปัญหาที่สร้างผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันทรงคุณค่า
แต่ด้วยระดับความรู้ความเข้าใจเพียงพื้นฐาน ที่เราต่างมีและได้ศึกษากันมาน้อยนั้น คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมากได้ เราจำเป็นต้องร่วมมือร่วมใจกันทั้งสองฝ่าย ทั้งหมดจึงต้องพยายามเข้ามา “อยู่ร่วมกัน” เพื่อให้ทั้งสองฝ่าย ทั้งชาวบ้าน และนักศึกษาได้ “เรียนรู้ร่วมกัน” ส่งผลให้พลังในการ “ทำงานร่วมกัน” ยิ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลงานให้ทรงประสิทธิผลยิ่งขึ้น ทั้งตัวผมเองและคนหนุ่มสาวจากชุมชนอีกบางส่วนจึงกลายเป็นตัวแทนในการอยู่ร่วมกันกับอาสาสมัคร ตรงศาลากลางหมู่บ้านที่เราแปรเปลี่ยนมันชั่วคราวเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับ “ค่ายอาสาสมัคร”
กลุ่มอาสาสมัครพร้อมด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นในชุมชนของเรา พวกเขาเริ่มเข้ามาอยู่ร่วมกับพวกเรา สอนให้เด็กๆ ของเราหัดคิด หัดอ่าน ตำราเรียนที่ทันสมัยมากขึ้น สอนให้ชาวบ้านรู้จักวิธีและข้อดีของการทำบัญชีครัวเรือน และการรู้จักใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า บางคนเข้ามาสอนให้เรารู้จักวิธีการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกต้อง สอนให้เรานำของที่ไม่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ สอนให้เราลดปริมาณขยะในชุมชน เป็นต้น
ชาวบ้านเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการเสียสละเวลาของพวกพี่ๆ เข้ามาเรียนรู้ร่วมกันกับเรา ในขณะเดียวกันกับการได้รับประโยชน์จากอาสาสมัคร พวกเราก็พยายามฝึกสอนให้กับอาสาสมัครเหล่านี้ได้เรียนรู้ถึงหลักเกณฑ์การดำเนินชีวิตของพวกเรา สอนให้พี่ๆ เขาได้รู้จักถึงวิธีการดักจับสัตว์น้ำ และการศึกษาช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำลง รวมไปถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างๆ ในชุมชน
กระบวนการการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เริ่มต้นกันอย่างเรียบง่าย เราต่างก็พยายามศึกษาถึงที่มาของปัญหาในด้านต่างๆ ที่กลายเป็นตัวแปรทำให้สภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนเปลี่ยนแปรไป โดยการนำหลักกระบวนการวิจัยแบบง่ายๆ ที่เราต่างก็สามารถคิดและวิเคราะห์เพื่อค้นหาข้อสรุปกันได้มาใช้ โดยเน้นตรงการมีส่วนร่วมของทุกคนให้มากที่สุด
เราต่างไม่รู้จักกันหรอกว่าอะไรคือ “การพัฒนา” แต่เมื่อช่วงเวลาผ่านไประยะหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในชุมชน ความคุ้นเคยประสานเราทั้งหลายให้เสมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราเริ่มสร้างประเด็นกันขึ้นมาเพื่อถกเถียงหาข้อสรุป ถึงปัญหาและสาเหตุที่เกิดขึ้นกับภาวะแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงสุขภาวะของชุมชน หลายๆ คนในหมู่บ้านเริ่มแสดงความคิดเห็น เริ่มรู้จักการวิเคราะห์ถึงที่มาของปัญหา และการศึกษาเพื่อแสวงหาหนทางแก้ไข เราเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ระบบการวางแผนแบบใหม่เข้ามาผสมผสานกับภูมิปัญญาในท้องถิ่น สร้างแนวทางหรือแบบแผนการงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนในชุมชน มันเสมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เราทั้งหลายต่างก็เห็นถึง “การพัฒนา”
ผมไม่รู้หรอกว่า ชีวิตที่สุขและเปี่ยมล้นด้วยศรัทธาเช่นนี้จะสามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานความสุข ที่ใครๆ ได้กำหนดไว้ มากหรือน้อยแค่ไหน แต่เหตุการณ์เช่นนี้ซึ่งเกิดขึ้นในชุมชนนี้ แสดงให้เห็นอย่างลึกซึ้งถึงไมตรีจิตและพลังแห่งความดีงาม ที่จะสามารถต่อกรได้อย่างทรงคุณค่า ต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงซึ่งย่ำกลายเข้ามาหาชุมชน ทุกๆ ช่วงเวลาของการดำเนินชีวิต
ความสงบสุขปกคลุมผืนฟ้าชุมชนของเราเสมอมา การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายหากครื้นเครงจรรโลงใจคนในชุมชนเราให้สุขใจยิ่งขึ้น ทุกคนดำรงชีวิตตามหลักการแห่งพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดิม ศีลธรรมยังมั่นคงในจิตใจอันหนักแน่นของผองชน การพึ่งพาอาศัยและเคารพต่อธรรมชาติทั้งผืนแผ่นดินเกิดยังคงเป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิตเยี่ยงอดีต กระบวนการดำเนินงานเพื่อการปกป้อง รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาวะของชุมชนเริ่มต้นขึ้น ด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธาและมิตรไมตรีต่อกันและกัน กระบวนการคิด ไตร่ตรอง และการวิเคราะห์ เริ่มมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานเริ่มส่อให้เห็นช่องทางของความมั่นคง
“จิตเพื่อสาธารณะ” อาจเป็นมรดกชิ้นใหม่ที่ถูกปลูกฝังให้กับคนหนุ่มสาว และเด็กๆ ในชุมชนได้ดำรงชีวิตและทะนุถนอมอย่างทรงคุณค่าเพื่อหยิบยื่นต่อคนรุ่นใหม่ในภายภาคหน้า
4
ความอิ่มเอมใจประทุขึ้นในจิตใจของผมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากได้เริ่มเข้ามาผูกพันกับคนอื่นๆ ภายใต้ชื่อ “อาสาสมัคร” มันคือช่วงเวลาที่เราได้ใช้ชีวิตท่ามกลางความผูกพันและมิตรไมตรี อีกทั้งการได้ช่วยกันฟื้นฟูวิถีชีวิตของพวกเราในชุมชน มันอาจเป็นพลังความหนุ่มของตัวเองที่ฝังลึกลงในจิตใจรอวันปะทุออกมา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการทำงานร่วมกันระหว่างพวกเราในขณะนั้นเป็นไปอย่างกลมเกลียว สามัคคี และปรองดองกันเสมือนคบหาสมาคมกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อาจด้วยจิตใจอาสาของแต่ละคนที่ต่างก็หยิบยื่นกันเข้ามาร่วมผลักดันโครงการของพวกเราให้ดำเนินไปบรรลุความคาดหวัง เราไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการ เพราะถือว่าการเยียวยาสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร หลายๆ อย่างดำเนินไปตามความคาดหวังในขั้นตอนแรก คือการพยายามประสานชาวบ้านและอาสาสมัครให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และแน่นอน เราต่างก็คุ้นเคยกันมากขึ้น การทำงานเป็นไปอย่างสอดคล้องต่อความคาดหวัง ทั้งชาวบ้านและอาสาสมัครต่างได้รับบทบาทและหน้าที่กันอย่างเต็มที่ในการมีส่วนร่วมกับโครงการ เราจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการรณรงค์ให้ช่วยกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติกันมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการร่วมกันเพาะพันธุ์กล้าไม้ เพื่อนำกลับไปปลูกทดแทนในป่าโกงกาง
กาลเวลาล่วงเลยมาพอสมควร หลายสิ่งหลายอย่างดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับความคาดหวัง สร้างความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งต่อทุกๆ คนที่มีส่วนร่วมในโครงการ แต่สำหรับตัวผม การเดินทางกลับถึงจุดหักเห สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็จำต้องเกิดขึ้น ไม่เคยนึกถึงหรือลืมไปสนิทใจว่าหน้าที่ของคนหนุ่มจำต้องพบเจออะไรบ้าง นอกเหนือจากสิ่งที่เคยประสบอยู่ทุกวี่วัน
มันไม่ใช่กาลเวลาเพียงอย่างเดียวหรอก ที่เป็นตัวผลักดันให้ผมมาประสบกับบทบาทหน้าที่ใหม่ แต่ “ชาติ” อันหมายถึง บรรทัดฐานที่ให้แผ่นดินและสิทธิในการดำรงอยู่ของทุกๆ คนในประเทศได้ดำเนินชีวิตอย่างผาสุก มันคือความจำเป็นอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งจะได้รู้เมื่อมาอยู่ที่นี่ว่า “ชาติ” คือสิ่งที่คอยปกครองและดูแลการอยู่ดีกินดีของทุกคน หน้าที่ของทุกๆ คนจึงต้องช่วยกันปกป้องชาติบ้านเมือง”
ช่วงแรกๆ ที่ถูกเกณฑ์มาอยู่ที่นี่อย่างผู้ไม่สามารถมีทางเลือกอื่น ผมไม่รู้หรอกว่า “ชาติ” มีขอบเขตของความหมาย และความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เรามากแค่ไหน แต่คนในเครื่องแบบรัดกุมที่นี่ พยายามบอกเล่าถึงบรรทัดฐานของชาติ และสร้างความรักใน “ชาติ” ให้กับผมและคนหนุ่มทุกคนที่ถูกเลือกเข้ามาอยู่ที่นี่ ในทุกครั้งของการฝึกฝน เราถูกสอนให้เป็นผู้มีระเบียบวินัย และรับผิดชอบมากขึ้น หลายคนอัดอั้นตันใจอยากหนีกลับบ้านในช่วงแรกเริ่มของการฝึกฝน แต่ก็ได้แค่คิด ทุกอย่างที่นี่ถูกตรวจสอบความเรียบร้อยอย่างสม่ำเสมอ จนไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้ดั่งใจเหมือนอยู่ที่บ้าน
ผมไม่มีสิทธิที่จะไม่พอใจในระบบการทำงานแบบนี้ ดีเสียอีกกับการได้ฝึกฝนตนเองทั้งเรื่องของระเบียบวินัยและการตรงต่อเวลา บุคคลในเครื่องแบบที่นี่บอก “มันคือความจำเป็นที่เราต้องหมั่นฝึกฝนตนเองให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัย เพราะภาระหน้าที่ที่เราต่างได้รับมันยิ่งใหญ่และมีเกียรติยิ่ง”
“เราทุกคนที่นี่จำต้องรู้ว่า ผืนแผ่นดินที่เราเหยียบย่ำอยู่ทุกวันนี้ มันคือมรดกอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของเราแลกมากับ “การต่อสู้ เลือด และน้ำตา” เราถึงมีเอกราชและเป็น “ชาติ” ให้คนในประเทศของเราได้อยู่เย็นเป็นสุข ฉะนั้น การถูกเลือกมาที่นี่มันคือศักดิ์ศรีอันล้ำค่าอย่างหนึ่งที่ “ชาติ” หยิบยื่นให้แก่คนหนุ่มของสังคม เพื่อปลูกฝังให้ทุกคนรู้คุณของแผ่นดิน และร่วมกันฝึกฝนตนเองเพื่อช่วยกันปกป้องเอกราชของ “ชาติ” บ้านเมืองเรา” ครูฝึกรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดชายชาติทหารดูองอาจ สง่าผ่าเผย ย้ำสิ่งนี้เตือนใจพวกเราอยู่เสมอ
สามเดือนแรกของผมที่อยู่ที่นี่ ภายใต้เกียติยศ ของผู้กล้าเสียสละเพื่อแผ่นดิน หรือรั้วของชาติ มันแค่”การเริ่มต้น” ผมยังไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับสถาบันนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เวลาสองปีเต็ม ผมจำต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง แต่เวลาสามเดือนที่ผ่านมา เราแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับตัวเองสักเท่าไหร่ เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการฝึกฝน และการศึกษา เรามีเวลาพักผ่อนบ้างในช่วงค่ำคืน แต่ไม่ได้หมายถึงการพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อหลับตาลงแล้ว ครูฝึกที่นี่สามารถปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะโดยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เราไม่อาจปฏิเสธ.. ความมีระเบียบวินัย คือพลังของการต่อสู้ เราทุกคนที่นี่ต้องหมั่นฝึกฝนตนเองให้เป็นคนที่พร้อมอยู่เสมอต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดจากใครบางคนคือความผิดพลาดของคนทุกคนในกองร้อย จำต้องได้รับการลงโทษเทียมเท่ากัน เราจึงต่างก็คอยระวังตัวเองไม่ให้ผิดพลาดหรือละเลยหน้าที่ของตัวเอง การฝึกฝนในช่วงสามเดือนแรกเป็นไปอย่างหนักมาก ตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า จนมืดค่ำเราก็ยังจำเป็นต้องอยู่ในกฎระเบียบ แม้ในยามหลับนอน เราก็ต้องควบคุมสติของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้พร้อมที่จะผลักตัวเองให้เท่าทันเสียงนกหวีด ซึ่งผมได้ยินมันจนชินหู
ถึงแม้เบื้องลึกภายในจะกู่ร้องเรียกหาแต่บรรยากาศเก่าๆ ที่เคยเป็นอยู่ น้ำตาที่หลั่งซึมเบ้าตาออกมาด้วยเหตุผลบางประการจะไหลรินเนืองสองแก้มบ้างในบางครั้ง แต่มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากมาย ชีวิตคนหนุ่มที่ไม่เคยห่างบ้านและการงานที่ตัวเองคุ้นเคยมันจำต้องพบเจอกับสิ่งใหม่บ้าง เสมือนที่ถ้อยคำที่พี่ๆ อาสาสมัครบอกเล่าอยู่เสมอ “คนเราต้องพบเจออะไรใหม่บ้าง ชีวิตคนหนุ่มมันคือช่วงกลางระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ มันคือช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ก่อนเข้าสู้วัยแห่งการต้องรับผิดชอบ” ใช่ซิ วัยหนุ่มคือช่วงเวลาสั้นๆ กาลเวลาหมุนไวเหลือเกิน ผมจำต้องพบเจอและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้กับชีวิตมากที่สุดเท่าที่จะหาได้ ณ ที่นี้คงมีอะไรให้ผมเรียนรู้อีกเยอะ
และอะไรล่ะ คือความจำเป็นของคนหนุ่มหลายคนที่นี่ กับช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนการเดินทางสู่วัยผู้ใหญ่ ในเมื่อเหตุการณ์ที่ต่างก็ต้องเผชิญล้วนแตกต่างกัน ผมได้คบหาสมาคมกับเพื่อนต่างถิ่นในที่นี่หลายคน พวกเขาล้วนมีพื้นเพที่หลากหลายกันไป มาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน บ้างกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย หรือบ้างก็มีชีวิตที่คล้ายคลึงกับผม ต่างคนต่างมีความฝันของตัวเอง เช่นเดียวกับตัวผม
ความจำเป็นต่อชีวิตสั้นๆ ของคนเรามันมากมายเหลือเกิน ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโลกนี้มันใหญ่แค่ไหน และมีอะไรอีกบ้างให้คนเราต้องประสบพบหา ผมคงจำต้องฝึกตัวเองและศึกษาอีกมากมาย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า “การเรียนรู้มันมีหนทางที่ยาวไกลอีกแค่ไหน?” ผมจำเป็นต้องพบเจอและรับฟังการบอกเล่าจากคนอีกเท่าไหร่ ผมต้องฝึกฝนตนเองอีกซักเท่าไหร่ มันถึงจะเพียงพอต่อการเก็บไว้เป็นของขวัญอันล้ำค่าหยิบยื่นให้แก่ตัวเอง ครอบครัว รวมไปถึงลูกหลานของตัวเอง ผมคิดถึงบ้านเสียเหลือเกิน กับของขวัญอันล้ำค่าที่พ่อหยิบยื่นให้ แม้ธรรมชาติในปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปอีกสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมได้รับมาจากพ่อและบรรพบุรุษย่อมคงอยู่ในจิตใจเสมอ คิดถึงค่ายอาสาสมัคร ความสามัคคีที่หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว และการร่วมมือร่วมใจกันอย่างบริสุทธิ์ใจ คิดถึงธรรมชาติ ผืนป่าโกงกางและลำคลองที่ผมผูกพันมาตลอด คิดถึงความเรียบง่าย การดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของศาสดา และการปฏิบัติศาสนกิจต่อพระผู้เป็นเจ้า ผมคิดถึงมรดกของพ่อ………
ค่ายรัตนพล สิงหาคม 2552