วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น บทเรียน




1

แม่บอกลูกๆ ทุกคนจะต้องไม่ลำบากเหมือนพ่อและแม่.. .”สมัยก่อนชีวิตพ่อและแม่ผ่านพ้นอะไรมาบ้าง ลูกๆ คงไม่รู้หรอก ความลำบากยากเข็ญมันเสมือนเพื่อนร่วมชีวิตเรามาเสมอ กว่าจะได้ลืมตาอ้าปากเหมือนชาวบ้านเขา ครอบครัวเรามีเรื่องราวให้จดจำเป็นอุทาหรณ์ย้ำเตือนพ่อและแม่มากมาย.. มันไม่ดีเลย หากต้องวนเวียนมาเผชิญกับชีวิตของลูกๆ อีกครั้ง ความคาดหวังของพ่อและแม่จึงอยู่ที่การให้ลูกๆ มีชีวิตอยู่ดีกินดี ไม่ต้องทนทุกข์ลำบากเหมือนท่านทั้งสองในอดีต”
ใช่ซิ.. ผมไม่เคยลืมหรอก ทุกๆ คำสอนสั่งที่เคยได้ยินจากปากของพ่อและแม่ วันเวลามันย่ำเดินไม่เคยหยุดหย่อนให้มนุษย์ได้มีเวลาขบคิดหรือตั้งสติหรอก มันทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน ทุกๆ วินาทีมันขับเคลื่อนชีวิตคนเราให้มุ่งไปแต่เบื้องหน้า แม้บางช่วงเวลาที่เคยผ่านพ้น อาจจะยังเป็นช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ แต่มันก็เก็บมาได้แค่ความรู้สึกไว้เพียงจดจำ “คนเราทุกคนควรย่ำเดินไปข้างหน้า อย่ามัวเสียเวลากับอดีตที่มันผ่านเลยไป” พ่อบอกเช่นนั้น

แต่พ่อก็เล่าให้ผมฟังอยู่เสมอ ถึงเรื่องราวในอดีตที่ทั้งพ่อและแม่เคยผ่านประสบมา ชีวิตของทั้งสองท่านไม่เรียบง่ายเลย การได้เกิดมาเป็นลูกคนจน มันหมายถึง ความจนในทุกๆ ด้าน ทรัพย์สิน ที่ทางทำกิน หรือแม้แต่หนทางที่จะดำเนินชีวิตให้มันสงบสุขเหมือนๆ กับคนอื่นๆ เขา.. พ่อไม่เคยคาดหวังเลยกับความมั่นคงหรือความมั่งมีในชีวิต แค่ให้ชีวิตในแต่ละวันได้มีข้าวกิน ที่ซุกหัวนอน มันก็คงจะเพียงพอแล้วกับการแบกหามร่างกายของตัวเองให้ผ่านไปวันต่อวัน..
พ่อเคยทำงานมาหลายอย่างประทังชีวิตตัวเอง แกเคยอยู่เรือขนส่งสินค้าไป ประเทศมาเลเซีย มันเป็นงานที่คนหนุ่มจากชนบทริมทะเลอันดามันแถบจังหวัดสตูลทำกันส่วนใหญ่ แต่มันเป็นงานที่หนักมาก พ่อไม่ชอบเอาเสียเลย การต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือขนส่งทีละหลายๆ ชั่วโมง บวกกับการแบกหาม มันเหนื่อยล้าทั้งกายและจิตใจที่หว้าเหว่ มันไม่มีทางเลือก สถานการณ์ทางบ้านมันผลักดันให้พ่อต้องต่อสู้บนวิถีชีวิตเยี่ยงนี้
แต่วันเวลาเหล่านั้นมันแลกมาด้วยความอดทนอดกลั้นเสมอ พ่อไม่เคยย่อท้อต่อความลำบากยากเข็ญเพียงไร ชีวิตพ่อมันลำบากมาตั้งแต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่ต้องระเหเร่ร่อนแล้ว เราผูกพันมากับทะเล กับคลื่นลมและแสงแดดที่เจิดจ้า จะให้ไปปักหลักถิ่นฐานที่ไหนได้ บนบกหากไม่ใช่พื้นที่เขตป่าสงวนแล้ว มันก็คือที่ทางทำกินของคนอื่นๆ หากมีโอกาสได้ขึ้นบกบ้าง ก็จำต้องเข้าไปหางานในฟาร์มกุ้งของนายทุน หรือไม่ก็จำต้องย่ำเท้าหางานแบกหามทั่วไปที่มีกระจัดกระจายตามโรงงานใหญ่ๆ แถบท่าเทียบเรือ...
การขนส่งมันดำเนินอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน ที่ซุกหัวนอน ที่กิน และที่ทำงานของพ่อเลยมีอยู่ ตราบใดที่ตัวแกยังมีสิทธิ์ที่จะแบกหามสินค้าบนเรือขนส่งเหล่านั้น
จนมาเจอแม่... แม่ผู้ผ่านประสบชีวิตที่ต้องผูกพันมากับความลำบากเช่นกัน ถึงแม้ครอบครัวของแม่จะพอมีที่ทางทำมาหากินบนเนื้อที่ริมคลองอยู่บ้างให้พอดักปู หาปลาเลี้ยงครอบครัว แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน แม่เลยต้องพาตัวเองติดกลุ่มเพื่อนละแวกบ้านขึ้นมาทำงานบนเรือจนเจอกับพ่อ บนวิถีแห่งความยากลำบากย่อมนำพาบุคคลที่พบเจอแต่ความยากลำบากมาเจอะเจอกันเสมอ พรมลิขิตมันน่าจะขีดไว้เช่นนั้น วันเวลาจึงประสานทั้งสองท่านให้เป็นคู่เคียงชีวิตที่ต้องร่วมลำบาก ถึงแม้ช่วงเวลาที่จะได้เคียงคู่ปลอบโยนจิตใจกันบนวิถีเช่นนี้จะมีโอกาสน้อยนัก แต่ความรักและเห็นอกเห็นใจกันมันนำพาให้ทั้งพ่อและแม่อดทนอดกลั้นสะสมเงินทองมากองรวมกัน และกลับมายังถิ่นฐานที่แม่เคยอยู่ หาหนทางใหม่ที่มันน่าจะเหมาะสมกว่าการต้องระเหเร่ร่อนไปกับเรือขนสินค้า
ความขยันหมั่นเพียรมันมีอิทธิพลเหลือเกินกับความเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น พ่อและแม่ช่วยกันทำมาหากินอย่างแข็งขันบนทางชีวิตใหม่..ฟาร์มเลี้ยงกุ้งเกิดขึ้นมากมายบนเนื้อที่แถบชุมชนที่เคยเป็นนาข้าวของชาวบ้านในหมู่บ้านที่แม่เคยอยู่ งานที่สามารถแลกกับเงินได้จึงมีมากมายไว้รองรับคนขยันหมั่นเพียรอย่างพ่อและแม่..
งานในฟาร์มกุ้งมันไม่หนักมากสำหรับพ่อและแม่ แถมยังได้เงินดีอีก หากครั้งใดที่ขายกุ้งได้เยอะจนเป็นที่พอใจของเจ้าของฟาร์ม พ่อกับแม่ก็จะได้ค่าตอบแทนและของกำนัลดีๆ เสมอ ทั้งสองพอมีเงินเก็บอยู่บ้างที่จะสามารถก่อร่างสร้างเรือนเล็กๆ บนเนื้อที่ริมคลองเขตป่าสงวน มันไม่ต้องเสียเงินซื้อที่ดินใหม่ ใครๆ เขาก็สร้างกันมาเยอะแยะ ถึงจะเป็นเขตป่าสงวน แต่ลำคลองมันเป็นของสาธารณะ บ้านหลังน้อยๆ จึงถูกก่อร่างสร้างขึ้นยื่นออกมาในลำคลองพอประมาณให้เป็นที่พักพิงได้
ชีวิตของพ่อและแม่เลยอยู่ในขั้นดีขึ้นบ้างจากแต่ก่อน อย่างน้อยทั้งสองก็มีบ้าน มีงานที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่มันก็ไม่ตลอดรอดฝั่งเสียทีเดียวหรอก ภาระที่ทั้งสองต้องแบกหามมันมากขึ้นพร้อมๆ กับความสะดวกสบายที่ทั้งสองต่างพอใจที่จะมี

ความฝันของพ่ออย่างหนึ่ง คือการพยายามเก็บเงินให้เยอะเพื่อมีเรือเป็นของตัวเอง อย่างน้อยการทำมาหากินก็จะง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เพราะทั้งป่าโกงกางและลำคลองที่นี่เสมือนคลังอันมหาศาลที่โลกพึงมีแด่มนุษย์ ผู้คนที่นี่ทำมาหากินกันหลายวิธี ดักจับสัตว์น้ำ ขุดไส้เดือนในป่าโกงกางเพื่อเป็นหัวอาหารอันโอชะแก่แม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ ตัดไม้โกงกางเผาเป็นถ่านขายส่งโรงงานใหญ่ หรือแม้กระทั่งรับจ้างตัดไม้ส่งนายทุนเพื่อการก่อสร้าง เหล่านี้ แค่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง ทุกๆ อย่างก็จะราบรื่นไปหมด

อยู่ฟาร์มกุ้งได้ไม่นาน พ่อและแม่เก็บเงินได้เยอะพอที่จะจ่ายค่าจ้างให้กับช่างฝีมือดีๆ โค่นต้นพยอมใหญ่ลงมาต่อเรือหัวโทงให้ฝันของพ่อเป็นจริงขึ้น.. การทำมาหากินไม่ใช่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป พ่อใช้เวลาในตอนเช้าเข้าไปในป่าโกงกางกับแม่พร้อมจอบและพร้าขุดไส้เดือนส่งขายให้กับเจ้าของฟาร์มกุ้งที่พ่อเคยทำงานมาก่อน ไส้เดือนเหล่านั้นล้วนเป็นอาหารเสริมชั้นยอดทีเดียวสำหรับแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ การขุดหาก็ไม่เห็นจะยากอะไรมากมาย แค่เข้าไปในป่าโกงกางเลือกที่เหมาะๆ ขุดหรือเจาะเป็นโพรงลอดเข้าไปใต้รากต้นโกงกาง แค่นี้เราก็ได้ไส้เดือนตัวโตๆ นำไปขายได้เงินดีอยู่ ตกเที่ยงก่อนกลับมาบ้านพ่อก็ตัดไม้โกงกางติดเรือกลับมาส่วนหนึ่งเข้าเตาเผาถ่านส่งขายให้กับเรือใหญ่ซึ่งจะนำส่งประเทศมาเลเซีย ถึงช่วงบ่ายหลังทานข้าวทั้งสองมีเวลาได้พักผ่อนบ้างสักครู่ใหญ่ ก็นำไซบ้างเบ็ดบ้างออกหาปูหาปลาไว้สำหรับมื้อค่ำ... ชีวิตทั้งสองจากที่เคยผ่านพ้นความลำบากมาเริ่มส่อเค้าดีขึ้น แม่มีเงินเก็บที่พอให้ออกไปจับจ่ายตลาด ซื้อผักซื้อผลไม้มาทานมาเก็บไว้บ้าง พ่อก็พอมีโอกาสซื้อนกกรงหัวจุกมาเลี้ยงหัดให้ร้องเก่งๆ ส่งเข้าประกวดตามประเพณีต่างๆ พ่อชอบนกกรงหัวจุกมานาน แต่ด้วยฐานะที่มันไม่มีแม้กระทั่งที่พักพิง เลยไม่เคยมีโอกาสให้พ่อได้เลี้ยงหรือชื่นชมอย่างคนอื่นๆ

พ่อบอกครอบครัวของเราโชคดีที่ได้มาพึ่งพิงญาติพี่น้องฝ่ายแม่ในชุมชนแห่งนี้ เป็นชุมชนชาวเลที่สร้างบ้านริมฝั่งคลองติงหงี ลำคลองที่ทอดยาวออกไปสู่ทะเล สองฝั่งถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าโกงกางอันอุดมสมบูรณ์ ทุกๆ ครอบครัวอยู่ร่วมกันเสมือนพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน ต่างก็ดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเสมอ พ่อเล่าให้ฟังว่า.. ทุกๆ คนที่นี่ต่างก็เคยใช้ชีวิตกันอย่างลำบาก กว่าพวกเราจะมีวันนี้ได้ วันซึ่งต่างก็มีที่พักพิงและที่ทางทำกินกันเป็นที่เป็นทาง พวกเราต่างก็ต้องต่อสู้กันมาทั้งนั้น การได้มาลงหลักปักฐานอยู่กินกันที่นี่ได้ ถือเป็นความเมตตาอย่างยิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีแด่บ่าวของพระองค์......

ผู้คนที่นี่อยู่กินกันอย่างร่มเย็น.. ผืนป่า สายน้ำ และวีถีแห่งการดำรงชีวิตตามแบบอย่างอันประเสริฐของศาสดาคือหนทางที่บ่มเพาะให้ทุกคนต่างเผชิญหน้ากันด้วยไมตรีจิต ทุกๆ ครอบครัวต่างก็อยู่กินกันบนพื้นฐานของความเรียบง่าย เรามีกินมีแบ่งกันเสมอ เราถูกสอนให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักใคร่ ปรองดอง และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เราไม่มีบทลงโทษหรือข้อตกลงใดๆ ต่อการเป็นอยู่ที่ตายตัว.. แต่วีถีหรือแบบอย่างของการดำรงชีพที่ตกทอดต่อกันมามันประสานให้เราอยู่กับมันอย่างกลมกลืน.. การประกอบอาชีพ ความครื้นเครงและการศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าเสมือนดั่งอุปนิสัยของการเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่มาแต่ครั้นอดีต...


2

เมื่อความอยู่ดีกินดีเคยเสมือนความคาดหวังอันสูงส่งของหลายๆ ครอบครัวที่นี่ แม้จำต้องเผชิญกับความมุ่งมั่นอุตสาหะ หรือต้องแลกกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักเพียงไร ชีวิตที่แต่ละครอบครับต่างก็ต้องต่อสู้กันมาเลยปรับเปลี่ยนให้หนทางของการดำเนินชีวิตที่ย่อมต้องดีขึ้นตามความมานะบากบั่น.. หลายๆ ครอบครัวจากเดิมที่เคยต้องระเหเร่ร่อนก็ได้มีที่ทางทำกินที่มั่นคงขึ้น บางครอบครัวได้มีโอกาสสร้างบ้านเรือนใหญ่โต มีรถราขับ และอีกหลายๆ ครอบครัวเช่นกันที่ได้มีโอกาสส่งลูกให้ได้เล่าเรียนสูงๆ จนจบออกมามีงานมีการดีๆ ในเมืองใหญ่ หรือบ้างก็กลับเข้ามายังถิ่นฐานเดิมเพื่อก่อร่างสร้างตัวด้วยธุรกิจจากขนาดย่อมจนถึงกิจการใหญ่ๆ อย่างการลงทุนเรือประมงหาปลาขนาดใหญ่มีลูกจ้างมากมายประจำ..
ท่าเทียบเรือเล็กๆ ที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ด้วยไม้พังกาอย่างเช่นอดีต บัดนี้ถูกสร้างเสียใหม่เป็นแพปลาคอนกรีตให้เรือประมงใหญ่เทียบท่า..ริมคลองจากแต่ก่อนที่เคยเห็นเพียงแต่ชาวประมงกับเรือเล็กเที่ยวดักปูปลาตามริมน้ำแนวเขตป่าชายเลน บัดนี้กลายเป็นกระชังเลี้ยงปลามากมายกระจัดกระจาย

วิถีชีวิตของคนที่นี่ต่างก็ดำเนินอยู่ด้วยการต้องประกอบอาชีพ หลายๆ คนได้เป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะด้วยความมานะบากบั่นและการเก็บออม แต่ก็ยังมีบ้างบางส่วนที่ประกอบอาชีพด้วยการเป็นลูกจ้างในกิจการมากมายที่เกิดขึ้นในชุมชน
หลายสิ่งหลายอย่างในชุมชุนได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางที่แต่ก่อนเคยเป็นแค่ทางลูกรังปนทรายแคบๆ ตามแบบอย่างถนนชนบท บัดนี้ถูกสร้างใหม่ให้น่าขับขี่ขึ้นด้วยคอนกรีต.. ร้านรวงต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งโรงเรียนในชุมชนที่ได้รับความสนับสนุนมากมายจากทางการให้ได้มีการพัฒนาในเรื่องของวิชาการและความสะดวกสบายในการเรียนการสอน เด็กๆ ในชุมชนได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดในชั้นประถมเพื่อจบออกไปต่อชั้นมัธยมในเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ หลายๆ คนมีสิทธิ์ศึกษาต่อในสถาบันดีๆ เพราะด้วยพื้นฐานทางปัญญาและความมั่งมีของทางบ้านที่มีความตั้งใจสูงให้ได้ศึกษาต่อไป..

ความตั้งใจของพ่อและแม่สำหรับผมจึงเป็นความตั้งใจเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของลูกๆ ในครอบครัวอื่นๆ ท่านทั้งสองอยากให้ผมเรียนต่อสูงๆ แล้วจบออกมามีการมีงานที่มั่นคง.. “พ่อบอกหากเรามีความมุ่งมั่นแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆ เราก็จะสามารถทำได้ และไม่เคยมีผู้ใดหรอกที่เกิดมาแล้วต้องเผชิญอยู่แต่กับความลำบาก หากผู้นั้นมีความมุ่งมั่นและมานะบากบั่น แม้หนทางที่ตัวเขาต้องประสพนั้นจะยากเย็นแสนเข็ญก็ตาม เขาก็จำต้องประสบความสำเร็จ” พ่อเปรียบเปรยถึงครอบครัวอื่นๆ ที่ลูกๆ ของเขาประสบความสำเร็จให้ผมฟังอยู่เสมอ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ต้องต่อสู้ “ไม่มีใครหรอกในชุมชนแห่งนี้ที่เจริญก้าวหน้ามาได้ด้วยการอยู่เฉยๆ พวกเขาต่างก็เคยต้องดิ้นรน ต่อสู้กันทั้งนั้น”
แม้พ่อและแม่จำต้องบากบั่นทำงานกันอย่างหนักขึ้น เพียงให้ผมได้มีทุนเพื่อการเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมปลาย แต่ทั้งสองก็ไม่ยอมให้ผมหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ตัวอย่างของคนหนุ่มสาวหลายๆ คนในชุมชนที่ได้เล่าเรียนกันสูงๆ ในเมืองใหญ่มันมีแต่ภาพของผู้ที่กลับมาพร้อมความมีอยู่มีกินที่ดีขึ้น ทั้งการได้เป็นที่พึ่งพิงของคนทางบ้าน..เช่นนั้น พ่อและแม่จึงเห็นร่วมและตั้งใจสูงส่งที่จะให้ผมไปเรียนต่อ และต่างก็หวังไว้อย่างยิ่งที่จะเห็นภาพของผมเช่นนั้นในเร็ววัน..


“จนผมมาเป็นนักศึกษา...เป็นปัญญาชนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีสติปัญญา เป็นผู้ซึ่งมาหาความหมาย ผู้ที่ต่างก็มีอนาคตอันยาวไกล และเป็นผู้มีความฝัน... ผมถูกสอนให้รักโลกเช่นนี้ โลกที่เราผู้เรียน คือผู้ที่เกิดมาพร้อมสิทธิและโอกาสที่จะเรียนรู้และปฏิบัติตนอย่างผู้มีวัฒนธรรม อันหมายถึงการดำเนินชีวิตตามมูลค่าที่เคลื่อนไหวตาม ความรวนเรของจิตใจอันแข็งกระด้างของมนุษย์ เราถูกสอนให้เป็นเยี่ยงนั้น เยี่ยงนกที่เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติและจิตวิญาณของนก แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงเพื่อทำหน้าที่ นักฝัน ท่ามกลางขอบเขตอันแข็งแก่รง... ผมพึงพอใจกับสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่ได้ด้วยความอยากของจิตใจ.. ความอ่อนโยนแห่งคืนวันยังคือคุณค่าอันบริสุทธิ์ ผมไม่ได้เกิดมาเพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเกิดมาตามธรรมชาติที่ทะนุถนอมพ่อและแม่ของผมอย่างอบอุ่น..โลกของผมกว้างกว่านั้น” ผมค้นหาช่วงขบคิดถึงสิ่งนี้เสมอ
พ่อและแม่ต่างมีความตั้งใจร่วมกันให้ผมมาเผชิญชีวิตที่นี่ และผมก็เห็นร่วม.. ถึงแม้ความรื่นเริงในวัยเด็กจะคอยฉุดรั้งจิตใจอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังอยากเดินหน้า เดินไปตามทางที่แม้ตัวเองก็ยังไม่รู้ที่สิ้นสุดก็ตาม กำลังใจและบทเรียนของพ่อและแม่มันยังดำรงในจิตใจของผมอย่างเยือกเย็น..

“ความรื่นเริงในวัยเด็ก” สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงความรื่นเริงที่อยู่เหนือความยากลำบากของผู้อื่น ผมไม่ได้มีความสุขในวัยเด็กในขณะที่ทั้งพ่อและแม่ของผมหยัดยืนอยู่บนฐานของความยากจนหรอก เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันรวมกันเป็นวิถีที่ไม่ได้มีแต่ด้านของการดิ้นรน หรือการขวนขวาย แต่มันเสมือนทางเดินชีวิตที่ต่างก็เขียนกันขึ้นด้วยชีวิต และต่างสัมผัสมันอย่างรู้คุณค่า ไม่ใช่การแสวงหาความหมาย... ผมมาจากโลกแห่งนั้น.. เสมือนดอกหญ้าทะเลที่งอกสอดแทรกสุมทุมพังกาที่แตกรากยึดหน้าดินในป่าโกงกาง ชีวิตผมเสมือนพันธุ์ไม้ซึ่งผลิดอกเบ่งบานท่ามกลางความอุตสาหะ ของพันธุ์ไม้ครึ่งบกครึ่งน้ำที่พยายามสร้างกำแพงความมั่งคงของผืนดิน และจิตใจกตัญญูของผมก็บังเกิดที่นั่น..
ถึงแม้สิ่งที่พ่อและแม่เคยทำเพื่อการค้ำจุนชีวิตจะมีความผิดแผกหรือผิดกฎเกณฑ์บ้านเมืองและความคงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติบ้างก็ตาม แต่มันคือ “รอยย่างก้าว” หรือร่องรอยของเรื่องราวการต่อสู้ที่จะเป็นบทเรียนอันมั่นคงแด่ผู้เกิดมาเบื้องหลัง... และมันคือผม คือดอกผลของพ่อและแม่ที่ถูกหล่อหลอมมาให้พาตัวเองออกจากความรู้สึกยากเข็ญ เหน็ดเหนื่อยหรืออ่อนล้า ผมถูกส่งให้มาอยู่เมืองกรุงเพื่อสิ่งอื่น... เพื่อความสะดวกสบายหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ความคาดหวังของพ่อและแม่บอกผมประมาณนั้น
ค่านิยมของคนกรุงมันปลิวว่อนไปไกลจนถึงถิ่นฐานที่ผมเคยกำเนิด และช่วงหนึ่งในชีวิตของพ่อและแม่ มันไม่ได้ฉุดรั้งท่านทั้งสองให้มาเผชิญชีวิตที่นี่ แต่มันดึงผมมาด้วยความมุ่งมั่น,, ความมุ่งมั่นเพื่อสิ่งอื่นๆ... ความมุ่งมั่นที่ผมเต็มใจขวนขวายพาตัวเองมา และผมก็พร้อมที่จะเจอกับทุกๆ แขนงสาขาวิชาที่ถูกวางเป็นรากฐานให้เราพบเจอ

พ่อและแม่ผมเคยลำบาก..ใช่.. มันเตือนสติอันอ่อนไหวของผมอยู่เสมอ.. ผมไม่เคยลืมที่จะนึกถึงเรื่องราวของท่านทั้งสอง ผมจากบ้านมานาน นานเสียเหลือเกินจนรอยย่างก้าวแรกที่นำผมออกจากบ้านมาดูเหมือนจะพร่ามัว.. ทุกๆ ย่างก้าวที่นำผมมาจนวันนี้มันมีแต่ผลักไสให้ผมห่างจากบ้าน ออกห่างจากความรู้สึกเดิมๆ ซึ่งอุ่นละไม.. แต่ผมก็พร้อมใจเสมอที่จะปล่อยให้ชีวิตของผมลื่นไหลไปกับกระแสเชี่ยวกรากของวันเวลา ภาพเบื้องหลังมันจะทรงพลังมากแค่ไหนต่อจิตใจเบื้องหน้า หากมันเป็นได้แค่ภาพของความทรงจำ จับต้องไม่ได้เหมือนภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏเสมอ..
มันเสมือนเป็นภารกิจ ใช่ มันเหมือนเป็นภารกิจสำหรับผมที่ต้องสู้.. ความปรารถนาดีของพ่อและแม่แปรเปลี่ยนเป็นความหวังให้ผมพลันลุกสู้อยู่เสมอ... ผมไม่ควรลำบาก.. พ่อและแม่คาดหวังเช่นนั้น เช่นเดียวกับพ่อและแม่ในครอบครัวอื่นๆ ละแวกบ้านที่ต่างตั้งความหวังให้กับลูกๆ ของตัวเองออกไปต่อสู้.. ชีวิตของเขาเหล่านั้นก็คล้ายคลึงกับเรา มันเป็นเช่นนี้เสียส่วนใหญ่ คนเลมันผูกพันมากับความลำบากเสมอ ลำบากที่เราต้องดิ้นรน ที่เราต้องเจอกับความยากเข็ญ และการต่อสู้ที่เหมือนไม่มีวันสิ้นสุด.. ทุกๆ วันของเรามันกำหนดให้เราต้องคอยผลักดันตัวเองให้พ้นไปในวันพรุ่ง ตำแหน่งของดวงจันทร์และกระแสน้ำขึ้นน้ำลงมันแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ ความเปลี่ยนแปลงเลยเกิดอยู่ทุกวัน ภาวะรอบตัวและ ความอยากของร่างกาย.. มันต่างก็เคลื่อนไหวเสมอ เราจึงอยู่เฉยไม่ได้ หากยืนหยัดที่จะสู้ เราก็ต้องพร้อมและมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ หากวางตัวอยู่เฉยๆ เช่นธรรมชาติชีวิตที่เราเคยเป็น วาระสุดท้ายคือการหนีไม่พ้นความตาย... ความตายที่เสมือนผลลัพธ์ของความต้องทนทุกข์ทรมาน..
แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนเลกลัวความตาย.. ชีวิตของเราแลกมากับความท้าทายที่จะวางเราไว้บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย... จุดมุ่งหมายของเรา (คนเล) จึงมากกว่าการพยายามดำรงชีวิตให้หลีกพ้นจากความทุกข์ทน แต่มันคืออำนาจของสายใยที่ผูกพันเราไว้ในสายเลือดระหว่างครอบครัวและญาติพี่น้อง ลูกหลานของคนที่นี่จึงไม่ควรดำรงอยู่อย่างผู้ทุกข์ทน สิ่งที่คนเลทำมันจึงต้องสร้างสิ่งที่มั่นคงเก็บถนอมเป็นมรดกอันล้ำค่าสืบทอดให้กับคนรุ่นหลัง... มันเป็นบันทึกเรื่องราวที่เขียนเป็นบทเรียนแห่งการต่อสู้

ผมจึงมองเห็นภาพความฝันของพ่อและแม่.. ภาพความอยู่ดีกินดีของครอบครัวที่เบ่งบานในความฝันของท่านทั้งสองเสมอ..

ผมจึงเต็มใจมาอยู่ที่นี่ เมืองกรุง เมืองใหญ่ เมืองหลวง และอีกหลายๆ นิยามความเป็นเมืองที่ต่างก็นิยามให้กับดินแดนแห่งนี้ ผมเต็มใจพาความฝันใฝ่เล็กๆ มาแสวงหาหนทางก่อเกิดที่นี่ ท่ามกลางกระแสแห่งความหลากหลายของการดำรงอยู่ และความวุ่นวายของชีวิต.. มันไม่ต่างอะไรมากกับการก้าวย่างพาตัวเองลงเรือพร้อมเครื่องมือหากินออกสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ อันรวนเร และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความเสี่ยงต่อชีวิตอันบอบบางของเรามีพอๆ กัน ออกเลกันไปไกลๆ เราจำต้องเจอแต่คลื่นลมลูกโตๆ และแสงแดดเจิดจ้า เรือโกโรโกโสลำน้อยๆ ท่ามกลางผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไม่สามารถพึ่งพิงสิ่งใดได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกฝากไว้กับผืนน้ำ และความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า...


แต่ความฝันเบื้องหน้าซิ.. มันช่างไกลเหลือแสน.. เราเคยออกเล เคยผจญหาเส้นขอบฟ้า ค้นหาจุดเชื่อมต่อของฟ้าและทะเล เส้นบางๆ ซึ่งกั้นกลางระหว่างความกว้างใหญ่ของผืนน้ำ และความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้า.. เราเหมือนไม่เจอมัน ยิ่งเราออกเรือกันไปไกลสักเท่าไหร่ ก็เสมือนอยู่กับที่..อยู่กับจุดเดิม.. จุดซึ่งคลื่นลมรวนเรเช่นจุดอื่นๆ.. แต่เราก็พอใจ พอใจกับสิ่งที่เราได้รับในแต่ละวัน พอใจกับปัจจัยยังชีพซึ่งพระผู้ยิ่งใหญ่ประทาน นอกเหนือจากการให้ดำรงอยู่อย่างช่วงคราว ก่อนเดินทางไปสู่วิถีแห่งนิรันดรกาล..
ผมจึงจำต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับความเป็นจริงที่เกิดที่นี่ อยู่กับหนทางซึ่งดีแต่ทำให้เกิดความดันทุรังที่จะมี มีทุกๆ สิ่งแม้จะเป็นปัจจัยที่เหนือความจำเป็นของการดำเนินชีวิตอย่างสั้นๆ แต่พ่อและแม่ก็ไม่ยอมให้ผมท้อ..ยุคสมัยของพ่อเคยลำบากเสียมากกว่านี้ คนเราเกิดมาเป็นคนด้อย จึงจำต้องสู้ สู้เพื่อสร้างพื้นที่ของตัวเองในสังคม สู้เพื่อกอบกู้สิทธิของตัวเราเอง.. หัวใจของการดำเนินชีวิตร่วมกันคือการแบ่งปัน พึ่งพาอาศัยกัน เหมือนดั่งคนเล.. คนเลซึ่งแบ่งปันน่านน้ำ และหยิบยื่นไมตรีจิตต่อกัน..วิถีของเราเช่นนี้ แม้จำต้องต่อสู้ เราก็จำต้องต่อสู้เยี่ยงนักสู้ เยี่ยงผู้ซึ่งมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนานา..
ผมจึงมีวันนี้..วันซึ่งผมยังอยู่ที่นี่ ยังอยู่กับหนทางการต่อสู้ของผู้มุ่งมั่นท่ามกลางภาวะสังคมที่รวนเร สังคมที่ปั่นป่วนเสียยิ่งกว่ามรสุมกลางน่านน้ำทะเล..

“ความมานะบากบั่นในวันนี้ย่อมต้องส่งผลในวันหน้า” พ่อย้ำเสมอให้ผมเชื่อในสิ่งนี้...”ทุกอย่างในโลกต้องแลกมากับความบากบั่น การมุ่งมั่น และการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์นานา” บทเรียนที่พ่อเคยได้รับคือบทเรียนเดียวกันกับที่พ่อให้กับผม...

เมื่อต้องนึกกลับไปถึงอดีต ผมย่อมจำติดตาได้เสมอถึงหนแรกที่ได้ออกเลกับพ่อ รุ่งยังไม่สางที่พ่อและผมต้องติดเครื่องเรือออกสู่ทะเลใหญ่.. อากาศหนาวเหน็บในย่ำรุ่งมันแทรกซึมผิวหนังเข้าไปสัมผัสถึงกระดูก ม่านหมอกบางๆ ล่องลอยจางๆ แลเห็นในคืนมืด พ่อเดินเรือโดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟ แม้เบื้องหน้าจะมืดมิด แต่ความช่ำชองมันนำทางพ่อให้ไปสู่จุดหมายที่มีปลาชุกชุม.. การใช้อวนเล็กดักจับปลาจำต้องมีคนมากกว่าหนึ่ง พ่อแนะวิธีให้ผมได้ลองหัดใช้อวนเล็ก โดยมีแกคอยควบคุยท้ายเรือ ถึงแม้การอธิบายจะดำเนินไปอย่างละเอียดลออจนประหนึ่งเรื่องง่ายๆ แต่กระแสคลื่นลมที่รวนเรกลางทะเลลึกมันบ่อนทำลายความมุ่งมั่นของผมเสียหมด ต้องพยายามหลายๆ ครั้งหลายคราจนชำนาญถึงจะดักจับปู ปลามาได้..ที่นี่ก็คงเช่นเดียวกัน หากไม่ได้อะไรกลับไปเลย การหันหลังกลับตัวเปล่าคงไม่ใช่หนทางที่ควรเป็น เราออกทะเลใหญ่ ดำเนินชีวิตอยู่บนหนทางเสี่ยง ฝ่ากระแสคลื่นลม อากาศร้อนอบอ้าว หรือบางครั้งจำต้องพบเจอกับมรสุม ความเป็นและความตายอยู่ใกล้ชิดกันจนเกือบเป็นเนื้อเดียวกัน จุดมุ่งหมายที่จำต้องแลกมากับความกล้าและทะเยอทะยานคือการต้องได้กุ้งหอยปูปลามากมายกลับเข้าฝั่ง การมาอยู่ที่นี่ของผมจึงมีหนทางเช่นเดียวกัน หนทางของการมุ่งมั่น หนทางของผู้แสวงหาความมั่นคง..

พ่อบอกว่าเราก็ต้องมีชีวิตที่มั่นคงกว่านี้ ถึงแม้เราจะมีบ้านที่พออาศัย อาชีพที่พอจะอยู่กินและได้ส่งเสียให้ผมได้เรียน แต่อนาคตมันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเราจะสามารถกำหนดได้หมดเสียทีเดียว ทุกๆ อย่างในโลกมันผันแปรได้ตลอด คนเราเกิดมาลำบากก็ต้องขวนขวาย เราไม่สามารถที่จะพึ่งพิงผู้อื่นได้ตลอดแม้แต่ตัวเราเอง.. การมานะบากบั่นมันสามารถทำให้เรามีมากกว่าแค่การประทังกาย.. หากเราพยายามมาก สิ่งที่เราได้รับตอบแทนก็ย่อมต้องเป็นความมั่นคงที่หมายรวมความอยู่ดีกินดีและสุขอย่างถาวรไว้ด้วยกัน
พ่อบอกผมเสมออยู่หรอกว่า สังคมทุกวันนี้มันมีหนทางมากมายมหาศาลที่นำพาให้มนุษย์ได้ดำรงอยู่และต่อสู้เพื่อความถูกต้อง วีถีชาวเลที่เคยต้องระเหเร่ร่อนมันไม่จำเป็นที่เราจักต้องดำเนินสืบทอดความลำบากกันชั่วลูกชั่วหลาน การศึกษาปัจจุบันมันมีมากมายหลายแขนงให้คนได้เล่าเรียนเพื่อนำพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก.. หากเรามีความตั้งใจ หนทางและการจัดการที่ดีก็ย่อมซึมทราบเป็นอุปนิสัยให้คนเราได้สร้างชีวิตให้ดีขึ้น มีอยู่มีกิน มีสิทธิ์มีเสียงในสังคม..
พ่อจึงฝันและเฝ้ารอที่จะเห็นผมกลับมาพร้อมความหวัง.. ความหวังที่พ่อตั้งใจรอให้ชีวิตของเราในครอบครัวได้อยู่ดีกินดีและมั่นคง พ่อบอกให้ผมไม่ต้องห่วงทางบ้าน ทั้งพ่อและแม่มีงานประจำอยู่แล้ว สามารถเก็บเงินทุนปันส่วนจากค่าข้าวค่ายาส่งเสียให้ผมได้เรียน เรียนเพื่อความรู้และทักษะที่จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานที่ดีกว่าอาชีพประมง หน้าที่การงานที่สร้างรายได้ค้ำจุนครอบครัวเราได้อย่างยั่งยืน..และพ่อก็เฝ้ารอ..เฝ้ารออยู่ทุกวี่วัน..

สิ่งที่ผมต้องเจอที่นี่มันมากกว่าภาพเมืองหลวงที่พ่อเคยได้ยินได้ฟัง..กระแสแห่งความโกลาหลและการแย่งชิงมันเกิดขึ้นกันซึ่งๆ หน้าไม่เหมือนกับที่พ่อเคยนึกฝัน พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าที่นี่ผมจำต้องเจอะเจอกับสิ่งใดบ้าง พ่อรู้เพียงว่าทุกๆ อย่างที่นี่มันมีความหวัง.. คนส่วนใหญ่พาตัวเองมาที่นี่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..เรื่องราวเช่นนี้จึงเสมือนดั่งภาพที่ตราตรึงในพฤติกรรมความเข้าใจของพ่อเสมอ..

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น เรื่องของหล่อน



1

หล่อนไม่ควรมองผมเช่นนั้น.. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม.. เราแค่เพื่อนบ้านที่เพิ่งจะได้ทำความรู้จักกัน และผมก็ไม่ใช่คนที่นี่.. ผมพาตัวเองมาอยู่เพียงเพื่อภาระหน้าที่เท่านั้น..

ต้องเป็นเช่นนี้เสมอ เหมือนกับทุกๆ วันที่ผมเดินผ่านรั้วหน้าบ้าน หล่อนจะต้องมองหน้าผมเสมือนมีอะไรบางอย่างในใจ.. ซึ่งผมอยากจะรู้เหมือนกัน.. แต่มันคงไม่ใช่ธุระอะไรมากมายที่ผมควรจะเข้าไปไถ่ถาม..ดวงตาของหล่อนเสมือนมีอะไรบางอย่างข้องใจในตัวผม ผมรู้สึกได้จากการสบตาทั้งสองข้างของหล่อน..

2

ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่.. ความเบื่อหน่ายชีวิตครูโรงเรียนในเมืองใหญ่มันผลักดันให้ผมเลือกที่จะมาสอนในโรงเรียนแถบชนบท ช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ผมอยากมีเวลาอยู่กับความสงบบ้าง เผื่อจิตใจที่มันถูกหมักหมมมาด้วยความสับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ จะได้พบเจอกับความเรียบง่ายและสงบสุขที่นี่ ผมเลยเลือกพาตัวเองมาสอนประจำอยู่ที่หมู่บ้านชาวเล ฝั่งทะเลอันดามันในจังหวัดสตูล ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ดำรงอาชีพชาวประมง มีบางส่วนทำไร่นา หรือเป็นลูกจ้างในฟาร์มกุ้งที่มีอยู่มากมายบนพื้นที่เขตชุมชน อากาศที่นี่สดชื่นไม่เหมือนเมืองใหญ่ที่ผมเคยอาศัย ผืนป่าอุดมสมบูรณ์และแม่น้ำลำคลองที่ใสสะอาด มันช่วยจรรโลงให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
บ้านพักของผม เป็นเรือนหลังไม่ใหญ่มาก เคยเป็นบ้านของน้องชายครูใหญ่กับครอบครัวที่เคยอาศัยมาก่อน แต่ตอนนี้ทั้งครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น บ้านเลยว่างมานาน บวกกับบ้านพักครูในโรงเรียนที่มีครูคนอื่นๆ พักกันอยู่ทุกหลัง ครูใหญ่เลยเสนอให้ผมมาอยู่ที่นี่ก่อน โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า.. เพียงดูแลเรื่องค่าไฟทุกๆ เดือนที่ผมใช้ไป.. เรือนชั้นเดียวพร้อมห้องนอนสองห้อง มีห้องครัวและห้องน้ำบนตลิ่ง ห้องนอนอีกสองห้องและระเบียงยื่นออกไปในลำคลองประมาณเจ็ดถึงแปดเมตรเศษๆ ข้างหลังเป็นกระชังปลาสี่ห้องสำหรับเลี้ยงปลากะพง ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านพักคือผืนป่าโกงกางที่ทอดยาวอยู่ริมฝั่งคลอง ผืนป่าซึ่งอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์น้ำนานาพันธุ์อาศัย เสมือนสถานอนุบาลก่อนออกสู่ทะเลใหญ่.. เรือหัวโทงของชาวประมงที่นี่แล่นผ่านไปผ่านมาทั้งวัน ชาวประมงบ้างวางเบ็ดอยู่ริมฝั่งคลอง หรือไม่ก็ดักปูดักปลาตามลำน้ำที่เป็นตรอกเล็กๆ เข้าไปในป่า..
บ้านพักของผมห่างจากโรงเรียนประมาณสองกิโลเมตร รถมอเตอร์ไซค์คู่กายที่เคยใช้สมัยสอนอยู่ในเมืองเลยถูกนำมาใช้ประจำตำแหน่งต่อที่นี่.. โรงเรียนไม่ใหญ่มาก ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดตั้งแต่อนุบาลถึงประถมหก คงจะราวๆ เจ็ดสิบคน มีครูประจำอยู่หกคนรวมทั้งผม หน้าที่ของครูแต่ละคนจึงต้องเป็นครูประจำชั้นแต่ละห้องที่คอยสอนทุกๆ รายวิชาต่อเด็กนักเรียนในแต่ละชั้น.. ผมสอนชั้นประถมสี่ ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน เป็นผู้ชายเก้าคนส่วนที่เหลือเป็นเด็กผู้หญิง เด็กๆ ที่นี่ค่อนข้างซนพอสมควรแต่ก็มีความเป็นกันเองกับครูคนอื่นๆ เพราะครูส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นคนละแหวกบ้าน หรือบางท่านมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี..
ครูใหญ่พยายามพาผมไปพบบุคคลสำคัญในชุมชนทุกคน โดยเฉพาะโต๊ะอีหม่ามประจำหมู่บ้าน ผู้นำทางศาสนาอิสลามในชุมชน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านที่ดูเป็นมิตรตั้งแต่วันแรกที่ผมได้พบเจอ ส่วนกรรมการโรงเรียนทั้งหมดครูใหญ่ก็ได้นัดหมายให้มาประชุมร่วมกันเพื่อแนะนำให้ผมได้รู้จักมักคุ้นและแถลงเรื่องอื่นๆ ร่วมกัน แต่การนัดประชุมบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ต้องหนักใจบ้างพอสมควรสำหรับครูใหญ่ที่จะให้กรรมการโรงเรียนทุกๆ คนมาพบเจอกันได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะยุ่งอยู่กับภาระหน้าที่ของตัวเองกันเสียหมด บ้างออกเรือหาปลาค้างคืนในทะเลหลายๆ วัน บ้างก็แจวเรือหาปูปลาอยู่ในลำคลองทั้งวันไม่ยอมขึ้นฝั่ง.. แต่ครูใหญ่ก็อดทนเสมอ แกบอกเราต้องเข้าใจด้วยว่า คนที่นี่เขาเป็นเช่นนี้ วิถีชีวิตของเขาที่นี่ผูกพันกับหน้าที่การงาน..
แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องหนักอกหนักใจอะไรมากมายหรอก ผมมาที่นี่แค่ภาระหน้าที่ในการสอน งานของผมก็คงจะมีแค่การสอนให้เด็กๆ มีความรู้ความสามารถแค่นั้น อีกอย่างผมมาอยู่ที่นี่มันก็ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่แค่อยากมาอยู่อย่างเงียบๆ เรียบง่าย หลบหนีสังคมเมืองสักปีสองปี หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที ผมเลยไม่อยากต้องคิดอะไรมากกับเรื่องราวเช่นนั้น...

เรื่องอาหารการกินที่นี่ไม่ค่อยสะดวกเหมือนในเมืองใหญ่สักเท่าไหร่ สำหรับคนหนุ่มอย่างผมที่ไม่ค่อยสันทัดในเรื่องการทำอาหารเอง โชคดีที่ยังพอมีร้านน้ำชาใกล้มัสยิดในตอนเช้าให้ผมได้แวะดื่มกาแฟกับปาต้องโก๋สองสามคู่ก่อนเลยไปโรงเรียนให้ทันเวลาเคารพธงชาติ ส่วนมื้อเที่ยงผมก็ทานร่วมกับครูและนักเรียนในโรงเรียน สองมื้อในภาคกลางวันเลยรอดไป มีแต่มื้อตอนค่ำนั่นแหล่ะที่ผมต้องพยายามหากินเอง บางครั้งก็ต้องขับมอเตอร์ไซค์ประจำตำแหน่งออกมาในเขตเมืองเล็กๆ ใกล้หมู่บ้านหาร้านอาหารอร่อยๆ กิน หากขี้เกียจขับรถออกมาผมก็หาซื้ออาหารสำเร็จรูป หรือพวกปลากระป๋องและข้าวสารตุนไว้.. บางทีก็ได้รับคำเชิญให้ร่วมอาหารจากครูใหญ่บ้าง หรือผู้ใหญ่บ้านบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก.. สรุปว่า ผมก็ไม่ค่อยจะมีปัญหามากมายในเรื่องการกิน..

ในหมู่บ้านช่วงกลางวันส่วนใหญ่จะเห็นแค่เพียงผู้หญิงและเด็กๆ ที่ค่อนข้างจะพลุกพล่าน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่จะออกเรือดักปูหาปลากันในคลองหรือออกทะเลใหญ่ ผมเริ่มจะคุ้นเคยบ้างกับเจ้าของร้านขายของชำ เพราะต้องแวะซื้อของใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ หล่อนเป็นคนอัธยาศัยดี ทักทายผมอยู่เสมอเวลาขับรถผ่านหน้าร้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่ค่อยจะมีเวลานั่งคุยอะไรมากมายกับหล่อนหรอก เพราะเลิกโรงเรียนมาผมก็ต้องรีบกลับไปเตรียมการสอนสำหรับวันต่อไป หากไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ผมก็อยากกลับไปนอนพักผ่อน...

3
ความต่างระหว่างอยู่ที่นี่กับแต่ก่อนที่ผมเคยประจำโรงเรียนในเมืองคืออะไรนะหรือ?.. ใช่.. ผมเคยคิดเปรียบเทียบอยู่บ่อย ที่นี่ผมมีเวลามากขึ้นที่จะครุ่นคิดถึงตัวเอง บรรยากาศที่ห้อมล้อมด้วยความสมดุลของธรรมชาติและความเรียบง่ายในชุมชนมันเอื้อให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าชีวิตที่ดีแต่จะเจอกับความวุ่นวายในเมือง.. ที่นี่ผมไม่ต้องใช้เวลามากมายในการเดินทางไปทำงาน รถไม่ติด อากาศสดชื่น.. ผมมีเวลาเหลือเฟือในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน เพื่อนั่งจิบกาแฟหรืออ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม.. ตกเย็นหลังเลิกงานผมก็มีเวลามากมายที่จะได้พักผ่อนตรงระเบียงหลังบ้าน..
ที่เมืองใหญ่ผมต้องอยู่กับครอบครัว..ใช่แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมมีปัญหากับครอบครัวหรอก.. ผมไม่มีปัญหาอะไรที่อายุปูนนี้แล้วแต่ยังอาศัยอยู่กับครอบครัว.. เพราะมันเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เด็ก สมัยเรียน จนทำงาน ผมอยู่กับครอบครัวมาโดยตลอด.. ทุกอย่างมันสะดวกสบายไปหมด ผมไม่ต้องทำกับข้าวเอง ไม่ต้องกวาดบ้านถูเรือนเอง ไม่ต้องมีปัญหามากมายในเรื่องการใช้จ่ายในครัวเรือน..แต่อย่างหนึ่งที่ต้องเจอมาตลอด ก็คงจะเป็นเสียงบ่น.. เสียงบ่นของแม่.. แม่เป็นคนขี้บ่นมาตลอด.. ใช่ นั่นคือแม่.. แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมเบื่อกับสิ่งนี้ บางครั้งผมแอบอมยิ้มเสมอที่ได้นั่งฟังเสียงแม่บ่น..ส่วนพ่อ.. พ่อผู้จดจ่อแต่กับเรื่องงาน.. พ่อเป็นวิศวกร..ภาระหน้าที่ท่วมหัว ทุกๆ วินาทีของพ่อเสมือนมีไว้ให้งานเสียหมด.. ผมเข้าใจพ่ออยู่.. แม่ก็บอกเสมอว่าพ่อคือเสาหลักของบ้าน เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อต้องต่อสู้เพื่อความอยู่ดีกินดีของครอบครัว..และมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม..ผมมีโอกาสเรียนจนจบและมีงานมีการได้ ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อ.. พี่สาวผม.. สถาปนิกผู้หญิง.. ความภูมิใจของพ่อ.. เธอจบการศึกษามาพร้อมกับความภูมิใจอย่างยิ่งของพ่อผู้วางรากฐานอย่างดีให้.. ทุกวันนี้มีงานทำในบริษัทใหญ่ โก้ หรู มีรถยนต์ส่วนตัว..สมกับ สถาปนิกผู้หญิง.. ความภูมิใจของพ่อ... ส่วนน้องชายผม..อายุย่างเข้าสิบเจ็ด..เด็กแนว บ้าแฟชั่นเกาหลี..เปลี่ยนมือถือเดือนละเครื่อง แฟนสาวเพียบ..หัวแก้วหัวแหวนของแม่ ทำอะไรถูกไปหมด.. พูดถึงเรื่องเพื่อนฝูง..เพื่อนร่วมงาน.. เพื่อนสมัยเรียน..ผมมีเยอะแยะมากมาย ต่างคนต่างก็กระจัดกระจายทั่วอยู่ในเมืองใหญ่ บางคนก็ได้เจอกันเสมอในวันหยุดสุดสัปดาห์ เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่กันทั่วเมืองใหญ่ ยังคงเป็นความสุขเสมอที่ได้หวนคิดถึง.. แต่นั่นก็คงไม่ใช่หนทางที่ผมควรเผชิญอยู่เสมอหรอก คนเราน่าจะเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง ความสุขมากมายในหลายๆ เส้นทางยังคงรอเราเสมอ ผมคิดเห็นเช่นนั้น และวันนี้ผมเลยอยู่ที่นี่..

ที่นี่.. ผมยังไม่รู้ว่าผมจะเผชิญกับสิ่งใดบ้าง แต่เมื่อความตั้งใจของผมมันสูงถึงขนาดนี้ ผมก็จำเป็นต้องอยู่.. อยู่เพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตของตัวเอง ที่เราเองเป็นคนเลือก.. แต่อย่างน้อย ความประทับใจแรกของผมกับที่นี่มันมากพอที่จะทำให้ผมเลือกอยู่ต่อไปได้แน่.. ผมเชื่อเช่นนั้น..


4

บ้านเรือนที่นี่สร้างยกพื้นเหนือริมแม่น้ำกันเป็นส่วนใหญ่ เลียบลำคลองดูทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หลังบ้านเป็นกระชังเลี้ยงปลาวางกระจัดกระจายริมฝั่งคลอง ระหว่างบ้านมีพันธุ์ไม้หลายๆ ชนิดงอกแซมท่าเทียบเรือซึ่งมีเรือหัวโทงจอดเทียบท่าบรรทุกสัมภาระดักจับสัตว์น้ำอยู่เรียงราย..เกือบทุกบ้านมีเรือของตัวเอง มันคือพาหนะหลักที่คนที่นี่จะต้องมีเพื่อการประกอบอาชีพชาวประมง แม้กระทั่งเรือนหลังที่ผมอาศัยอยู่ก็ยังมีเรือจอดเกยตื้นอยู่ สภาพยังดีเยี่ยมพร้อมใช้งาน ครูใหญ่บอกเป็นของน้องชายแก แต่ก่อนเขาเคยออกเรือหาปลามาตลอด แต่เดี๋ยวนี้พาครอบครัวย้ายไปทำมาหากินกันที่อื่น ทั้งเรือและเครื่องมือหาปลาในบ้านเลยเก็บอยู่อย่างนั้นมานาน.. แกเคยบอกให้ผมหาเวลาว่างนำออกมาใช้ดูเสียบ้าง ผมขอให้แกพูดเล่นเถิด.. คนอย่างผมจะไปทำได้ยังไงกัน แม้แต่พายเรือผมก็ไม่เคยลองมาก่อนตั้งแต่เด็กแล้ว..
เรือนของผมอยู่ละแวกบ้านของชาวประมงหลายๆ หลังที่สร้างติดกันเลียบฝั่งคลอง ด้านหน้าเป็นถนนลูกรังแคบๆ ที่เชื่อมต่อบ้านแต่ละหลัง ด้านขวามือเป็นบ้านของลุงเฝน ซึ่งเป็นภารโรงในโรงเรียนที่ผมเข้ามาสอน บ้านของแกเป็นบ้านปูนกึ่งไม้ยื่นออกไปในลำคลองเช่นกัน ภรรยาของลุงเฝนชื่อป้าสาว เป็นลูกจ้างจับกุ้งในฟาร์มห่างจากบ้านไปเกือบกิโล ส่วนลูกชายแกเป็นนักเรียนประจำชั้นที่ผมสอน ผมเข้าไปพูดคุยกับแกบ่อยในตอนค่ำแต่ก็ไม่ทุกวันหรอก บางวันแกกลับมาจากโรงเรียนแล้วก็ลงไปในคลองดักไซปูบ้าง หรือไม่ก็ไปช่วยเมียแกจับกุ้งในฟาร์ม เวลาที่ได้พบแกและสนทนากันบ้างก็เป็นช่วงที่เจอกันในโรงเรียน ส่วนซ้ายมือของบ้านเป็นเรือนไม้กั้นสังกะสีเล็กๆ สร้างเป็นแพยื่นออกไปในลำคลอง ชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ อยู่กับภรรยาและลูกชายอายุประมาณสองขวบ ผมไม่ค่อยที่จะได้เจอผู้เป็นสามีสักเท่าไหร่ เพราะเขาต้องออกเรือไปในทะเลกับเพื่อนๆ อยู่เสมอ กลับเข้ามาบ้านบ้างแต่ละครั้งก็อยู่ไม่นาน หลังขนปูปลาขึ้นฝั่งให้ภรรยานำไปขาย ก็กลับลงไปในทะเลต่อ พวกเขาเตรียมเสบียงและสัมภาระกันไปมากมาย เพราะบางครั้งต้องนอนค้างคืนกลางทะเลทีละหลายๆ วัน...ฝ่ายภรรยาอยู่กับบ้านเลี้ยงลูกน้อย ทุกๆ วันจะต้องเห็นหล่อนนั่งซ่อมอวนให้กับสามีอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ใต้ต้นมะขามที่แตกกิ่งก้านสูงโตให้ร่มเงาครอบคลุมบ้านทั้งหลัง.. หล่อนเป็นญาติกับลุงเฝนซึ่งเป็นคนพื้นเพอยู่ที่นี่ สามีของหล่อนเป็นคนจากที่อื่น เข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน เป็นลูกจ้างตัดไม้โกงกางส่งเตาเผาถ่านของเถ้าแก่ในเมือง มาคบหาสมาคมกับหล่อนจนได้แต่งงานครองเรือนร่วมกันมาจนมีลูกได้สองขวบ สามีของหล่อนเป็นคนขยันและไม่ค่อยพูดค่อยจาสักเท่าไหร่ เราได้พบเจอกันบ้างในบางครั้งก็วันศุกร์ซึ่งผู้ชายในหมู่บ้านทั้งหมดจะต้องหยุดออกทะเล เพราะต้องไปละหมาดพร้อมกันที่มัสยิด กลับจากโรงเรียนในตอนเย็นผมเลยได้เห็นหน้าค่าตากับเขาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทักทายหรือพูดคุยกันสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็ไม่เคยที่จะหยุดนิ่งเสียทีเดียว ไม่นั่งเย็บอวนอยู่กับภรรยาก็จะเห็นพายเรือเรื่อยๆ เอื่อยๆ ออกไปเลียบลำคลองหาปูหาปลาตามประสา..
...

ส่วนผู้เป็นภรรยา จากการได้พูดคุยไถ่ถามกับลุงเฝนหลายๆ ครั้งทำให้ผมรู้ว่าหล่อนชื่อฟารีดา อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสอง ตามที่ผมสามารถคาดคะเนได้ ยังดูเป็นเด็กสาวมาก ไม่น่าจะมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างนี้ หล่อนน่าจะออกไปทำงานในเมืองหรือเรียนให้สูงๆ รับงานเป็นข้าราชการหรือทำงานอย่างอื่นที่เหมาะสมเสียดีกว่า หน้าตาของหล่อนดูดีทีเดียว แม้ผิวจะหมองคล้ำไปเสียบ้างคงด้วยหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่ทุกวี่วัน..แต่หล่อนเป็นคนขยันเอาการเอางาน ทุกๆ วันไม่เคยเห็นหล่อนพักเสียบ้างเลย ก่อนออกจากบ้านแต่เช้าตื่นขึ้นมาผมก็เห็นหล่อนกวาดบ้านถูเรือนอยู่แล้ว กลับมาตอนเย็นก็นั่งเย็บอวนหรือปอกฝักมะขามที่หล่นเกลื่อนพื้นหน้าบ้านส่งขายตามร้านค้าอยู่ทุกวี่วัน...คงเป็นเรื่องที่เหนื่อยพอสมควรสำหรับหล่อนที่จำต้องรับหน้าที่มากมายในบ้านตั้งแต่งานแม่บ้าน เลี้ยงลูก แถมยังต้องช่วยงานสามีอีก
ลุงเฝนเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของหล่อน ซึ่งเป็นเด็กสาวที่ลุงแกรับเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุสิบขวบ พ่อกับแม่ของหล่อนเคยทำงานอยู่แพปลากับเถ้าแก่แถวท่าเรือปากบารา แต่น่าเศร้านักเมื่อทั้งสองเสียชีวิตพร้อมกันขณะขับมอเตอร์ไซกลับมาบ้านและเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง.. ลุงแกเลยรับหล่อนเข้ามาเลี้ยงดูต่อที่บ้าน แต่ด้วยฐานะของลุงเฝนกับป้าสาวก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในย่านนี้ หล่อนเลยไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือต่อเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ชีวิตของหล่อนจึงต้องผูกพันมาโดยตลอดกับการต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานในบ้านของลุงเฝนและป้าสาว ในขณะที่ทั้งสองออกไปทำงานนอกบ้าน จนเมื่อเลาะหรือสามีของหล่อนซึ่งเป็นคนต่างถิ่นเข้ามาทำงานแถวบ้าน เกิดรักใคร่ชอบคอกัน ลุงเฝนก็เห็นว่าเลาะเป็นคนดีและขยันทำมาหากิน แกเลยให้นิกะห์อยู่กินกันจนปัจจุบัน..
ดวงตาของฟารีดาดูเศร้าหมองอยู่เสมอ ลุงเฝนบอกหล่อนเป็นคนอมทุกข์ ทุกคนในหมู่บ้านได้แต่เห็นใจ ไม่รู้จะช่วยหล่อนให้มากกว่านี้ได้อีกยังไงให้ดูเหมือนคนปกติขึ้น ดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้มีเลาะเข้ามาอยู่ด้วย เลยได้ช่วยกันทำมาหากิน.. แต่ทั้งคู่ก็ยังคงต้องลำบากอยู่บ้างหรอก เพราะเลาะเองก็ไม่ได้เลอเลิศหรือร่ำรวยมาแต่ไหน มาอยู่ถิ่นนี้ก็เพราะหน้าที่การงานที่ต้องมารับจ้างตัดไม้โกงกางส่งเตาเผา อยู่บ้านตัวเองก็เห็นว่าครอบครัวที่โน่นก็ยังต้องเช่าที่ทางทำกินเช่นกัน มาหลงรักฟารีดาเข้าก็ไม่มีทรัพย์สินมาสู่ขอ ทั้งลุงเฝนและญาติฝ่ายฟารีดาเห็นใจก็เรียกผู้ใหญ่มาหารือกันก็นิกะห์ให้กันโดยไม่ต้องมีสินสอดอะไรมากมาย แค่ขอให้ทั้งสองได้อยู่กินครองเรือน ช่วยกันทำมาหากินกันไป..ดีที่ทั้งคู่เป็นคนขยัน จึงช่วยกันทำมาหากินเก็บเงินยกเรือนหลังเล็กๆ อยู่ริมชายฝั่ง มีเรือมีเครื่องมือหาเลี้ยงชีพไม่อดตาย..
เรื่องของหล่อนถูกเล่าผ่านลุงเฝนมาประมาณนี้..


5

มาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ผมเริ่มสนิทสนมกับเพื่อนบ้านหลายๆ คนทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะลูกศิษย์ของตัวเองที่อยู่ใกล้บ้าน ผมได้รับคำเชิญจากเพื่อนบ้าน บ้างผู้ปกครองของเด็กๆ ให้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอยู่บ่อย บางครั้งก็มีโอกาสลงเรือไปกับชาวบ้านนั่งเล่นดูบรรยากาศริมแม่น้ำซึ่งหนาไปด้วยผืนป่าโกงกางและพืชพันธุ์ สัตว์น้ำนานาชนิด ผมหลงใหลในโลกเช่นนี้เหลือเกิน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่นี่มันส่งผลก่อให้เหล่าสัตว์น้ำน้อยใหญ่ชุกชุม ให้ชาวประมงหากินได้ตลอดทั้งปี บางช่วงที่เป็นช่วงน้ำใหญ่ หรือเมื่อตอนน้ำขึ้นสูง ชาวบ้านที่นี่ก็ต่างวางไซดักปูดำตัวใหญ่ๆ ถึงช่วงหน้าร้อนก็เก็บสาหร่ายทะเลซึ่งขึ้นอยู่ในอวนของกระชังปลาหรือไม่ก็เข้าป่าหาน้ำผึ้งและสมุนไพร บนชายหาดอีกฝั่งของหมู่บ้านก็เป็นที่เก็บหอยหรือดักกัดปลา.. อาชีพของคนที่นี่มีให้ทำมาหากินอยู่ทุกฤดูกาล พวกเขาทำมาหากินเพียงเพื่อการดำรงอยู่ มีบ้างที่ดักจับสัตว์น้ำ หรือพืชพันธุ์สมุนไพรมาเพื่อส่งขายในตลาด แต่ก็เป็นเพียงการทำธุรกิจขนาดย่อมเพื่อแลกกับเงินตราบางส่วนมาหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น วิถีชีวิตของคนที่นี่ผูกพันอยู่กับครอบครัว การทำมาหากิน และการดำรงชีวิตตามครรลองแห่งศาสนา หนทางชีวิตแห่งศาสดาที่จัดเจนจนเป็นแนวทางของการดำรงชีวิตอย่างสันติ..

ความหลงใหลในชุมชนที่นี่ทำให้ผมเลิกล้มความคิดที่เคยนึกอยากอยู่เพียงปี สองปี ผมกลับบ้านหลายรอบเพื่อขนข้าวของเครื่องใช้ในเมืองใหญ่นำมาอำนวยความสะดวกที่นี่ ทั้งทีวีสีจอยี่สิบสี่นิ้ว เครื่องเสียงโฮมเทียเตอร์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และอื่นๆ เล็กๆ น้อยอีกสารพัดอย่าง ชีวิตผมที่นี่จึงสะดวกยิ่งขึ้นกว่าช่วงแรกๆ ที่เข้ามาอยู่.. ทีวีทำให้ผมได้ติดตามข่าวสารเท่าทันขึ้น อีกทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน อย่างเช่นช่วงแรกๆ ที่เคยต้องซักผ้ากับมือจนต้องเสียเวล่ำเวลาในการได้พักผ่อน ขณะนี้ผมมีเครื่องซักผ้าเข้ามาผ่อนแรงและเพิ่มเวลาให้ทำโน่นทำนี่อีกตั้งเยอะ..ผมจะได้มีเวลาหาความสงบและรื่นรมย์กับธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่างเต็มที่เสียที..
การได้รู้จักกับหลานของลุงเฝนอีกคนหนึ่ง ชื่อดารุสเสมือนทำให้กรอบการเป็นอยู่ของผมที่นี่ดูกว้างขึ้น ดารุสเป็นหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ด ไม่เคยได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่นๆ โตมากับการต้องออกเรือหาปลากับพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ฝีมือการบังคับเรือของดารุสถือว่าเก่งกาจกว่าเพื่อนคนหนุ่มคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เขาชอบออกเรือหาปลากับเพื่อนฝูงในที่ไกลๆ ทีละหลายๆ วัน แม้คลื่นลมที่นั่นจะแรง หรือบางครั้งจะเป็นหน้ามรสุม แต่ด้วยมือของดารุสแล้ว ใครๆ ต่างก็ต้องชื่นชม.. ดารุสและเพื่อนได้ปู ปลา กลับมาบ้านทีละมากๆ เหลือจากการแจกจ่ายให้กับชาวบ้านคนอื่นๆ แลกกับค่าน้ำมันเรือ ดารุสก็จะให้แม่นำไปขายในตลาด..
ผมมีโอกาสได้คุยกับดารุสบ้างก็เมื่อเขานำปลามาให้ที่บ้าน แต่ผมไม่ได้รับไว้หรอก เพราะจะให้เอามาทำกินอย่างไรผมยังไม่รู้เลย แต่ก็รับคำเชิญที่จะไปร่วมทานที่บ้าน.. ดารุสชอบถามผมถึงเรื่องในเมือง เรื่องของการเป็นอยู่ และอีกหลายๆ เรื่องที่เขาเคยสงสัยเกี่ยวกับคนเมือง.. บางครั้งผมก็ไถ่ถามเขาถึงชีวิตกลางผืนทะเลใหญ่ เขาเล่าได้น่าตื่นเต้นทีเดียว ความผันแปรของกระแสน้ำ ความรวมเรของเกรียวคลื่น ฟ้า ฝน และความทรหดของวิถี ประมง เหล่านี้ทำให้ผมนึกภาพตามได้ชัดเจนเสมือนนั่งฟังเรื่องเล่าจากวิทยุอย่างไรอย่างนั้น..
ดารุสเป็นคนที่พูดเก่ง หน้าตากรำแดดแฝงให้เห็นถึงคนที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ของการท้าทาย เขาชอบที่จะเล่า และบางครั้งชักชวนผมให้ไปด้วย.. ผมเคยสัญญาอยู่หรอกแต่หน้าที่การงานมันรัดตัวพอสมควร ได้แต่สัญญาลอยๆ ไว้ว่าช่วงปิดเทอมใหญ่ หากไม่ตรงกับหน้ามรสุมก็จะลองไปดู..
นอกจากดารุสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม หรือคนในวัยใดๆ ก็ตามที่เป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่แล้วก็จะต้องออกทะเลหาปลา ถึงช่วงหน้าน้ำแต่ละครั้ง ก็จะได้เวลาของการเตรียมสัมภาระ แบกหามลงเรือตอนหัวรุ่งมุ่งสู่ทะเลใหญ่.. ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเขาจะออกกันไปกี่วัน และจะไปพักที่ส่วนไหนของทะเล เมื่อถามไถ่ดูบ้างถึงเวลาที่จะย้อนกลับเข้าฝั่ง ประโยคเดียวที่เป็นคำตอบเหมือนๆ กันคือจนกว่าน้ำจะหมด..
เมื่อถึงช่วงเวลานั้นแล้ว นั่นแหล่ะคือช่วงเวลาที่ใครๆ ต่างก็ยิ้มออก ลูกซึ่งต้องรอคอยที่จะขี่หลังพ่อ.. หรือภรรยาที่เฝ้ารอการกลับมาของสามีก็จะได้พบเจอกันอีกครั้ง แถมยังมีปูปลามากมายให้กินกันไปหลายๆ วัน หรือที่เหลือบ้างก็แลกค่าน้ำมันกันไปตามอัตภาพ..






6

อากาศร้อนจัดกลางทะเลในหน้าน้ำวันหนึ่งทำให้เลาะล้มป่วยลงกะทันหัน.. หลังจากเรือออกจากฝั่งได้แค่สองวัน เพื่อนๆ ซึ่งร่วมทีมเรือลำเดียวกันจึงต้องวกกลับเข้าฝั่งเพื่อนำเลาะกลับเข้าพักฟื้นที่บ้าน.. อาการป่วยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นในระยะแรกๆ ดีแต่จะทรุดลงเรื่อยๆ แบบฉบับของผู้ซึ่งใช้แรงงานหนักมาตลอดไม่ค่อยมีโรคภัยเบียดเบียน หากแต่เมื่อถึงคราที่ต้องล้มป่วยลงแล้วบวกกับความอ่อนล้าที่มีอยู่ด้วยเป็นทุนเดิม จึงต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักระยะหนึ่ง..เพื่อนๆ ละแหวกบ้านทั้งๆ สหายที่ออกเรือด้วยกันต่างสลับสับเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยือนถือของฝากติดไม้ติดมือกันมาเยี่ยมป่วย.. ฝ่ายฟารีดาจึงมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นกว่าวันก่อนๆ บางวันต้องออกจากบ้านไปกับป้าสาวที่ฟาร์มจับกุ้งเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ายาให้กับสามี.. หล่อนดูโทรมลงกว่าเดิมที่ผมเคยเห็น หน้าตาหมองคล้ำจนขอบล่างของเปลือกตาเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเขียวดั่งคนอดหลับอดนอน ผิวพรรณดูไม่มีชีวิตชีวา ดวงตาก็ดูจะไม่ค่อยสดใสเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ คนอื่นๆ.. การออกไปจับกุ้งที่ฟาร์มหรือบ่อกุ้งนั้น คนจับจะต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสามยามรุ่ง เพราะรถยนต์ของเจ้าของฟาร์มจะมารอรับอยู่ที่ร้านขายของชำกลางหมู่บ้าน เจ้าของฟาร์มกำหนดให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน เพราะต้องให้ทันรถโรงงานซึ่งจะมารอรับซื้อกุ้งในตอนบ่าย..

ภาระที่ต้องรับผิดชอบสำหรับหล่อนในขณะนี้คงมากยิ่งขึ้นกว่าเก่าที่เคยทำอยู่ ผมสังเกตได้จากสีหน้าและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงตาของหล่อน.. หล่อนมองผมแปลกๆ ไม่เหมือนระยะแรกๆ ที่เคยสบตากัน แต่ผมก็พอรู้อยู่หรอกว่ามันอาจเกิดจากความเหนื่อยหน่ายที่เกิดขึ้นจากการตรากตรำทำงานทั้งวัน หล่อนคงเหนื่อย คงเมื่อยหล้า และคงไม่อยากให้ใครเข้ามาซักถาม หรือทักทายใดๆ ทั้งสิ้น หรือบางทีอาจจะด้วยความมีโลกส่วนตัวมากเกินไปจนไม่อยากต้อนรับใครเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิตเลย ผมเคยเจอคนเช่นนี้บ่อย เพื่อนบ้านในเมืองส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ตื่นเช้าขึ้นมาแม้เจอหน้าก็ไม่ได้อยากจะทักทายกันเสียเท่าไหร่ เพื่อนๆ ที่ทำงานเก่าก็ล้วนเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองจนไม่อยากเสียเวล่ำเวลามาคุยทักทายกันสักเท่าไหร่ มันอาจกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับมนุษย์..
แต่ผมก็ย่อมไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้วกับเรื่องราวเช่นนี้ ผมเจอมาบ่อย อย่างน้อยผมก็พอมีลุงเฝน ป้าสาว และดารุสอยู่บ้างให้ได้คุยเล่นเป็นเพื่อน..



7

ข้อตกลงระหว่างผมกับดารุสถือเป็นบทสรุปของการเริ่มทำธุรกิจขนาดย่อมร่วมกัน เงินเก็บบางส่วนบวกกับการได้รับความช่วยเหลือจากทางบ้านอีกครึ่งทำให้ผมสามารถถอยรถกระบะคันงามจากห้างโชว์รูมในเมืองมาครอบครองได้โดยง่าย ดารุสและเพื่อนอีกแปดคนจะเป็นฝ่ายพาเรือออกทะเลใหญ่ เพื่อลากอวนหาปลา ส่วนผมจะขออนุญาติลาครูใหญ่ออกมาในตอนเที่ยงของวันเพื่อนำปลาที่ได้นั้นส่งไปขายในโรงงานขนส่งอาหารทะเลใกล้ท่าเทียบเรือประมงปากบารา ปลาที่ได้ทั้งหมดจะถูกนำส่งโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางที่จะมารับซื้อที่นี่ด้วยราคาที่ค่อนข้างจะไม่ยุติธรรม ข้อตกลงของเราคือการที่ผมออกรถขนส่ง และเงินทุนบางส่วนเพื่อซื้ออวนขนาดใหญ่ ลังบรรจุน้ำแข็ง และน้ำมันเรือในแต่ละครั้งที่ดารุสและเพื่อนต้องออกทะเล.. ธุรกิจดำเนินไปอย่างเรียบง่าย คนแปดคนกับเรือสามลำได้ปลามาเยอะแยะมากมาย จนบางครั้งเหลือจนเราได้แจกจ่ายให้เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ดารุสและเพื่อนได้ส่วนแบ่งเป็นเงินบางส่วนให้ทุกคนได้เก็บไว้เป็นต้นทุนของครอบครัว ส่วนตัวผมเองไม่ได้คาดหวังถึงผลกำไรอะไรมากมายโดยแท้จริงหรอก ผมแค่ถูกใจและอยากช่วยเหลือคนอย่างดารุส และตัวผมเองก็จะได้มีบทบาทบางส่วนกับการทำมาหากินของคนที่นี่อยู่บ้าง.. พ่อรู้สึกดีกับข่าวคราวของผมในขณะนี้ แกไม่ได้อยากให้ผมดำรงอาชีพครูเสียเท่าไหร่ แกอยากให้ผมกลับบ้านทำงานกับแกเสียมากกว่า แต่ให้ทำอย่างไรได้ ทางของผมมันเริ่มราบรื่นและสะดวกเสียยิ่งกว่าทางอื่นๆ ที่ผมเคยได้ลองใช้ชีวิตมาก่อนเสียอีก..
เมื่อทุกๆ อย่างเริ่มไปได้สวยและเข้าที่เข้าทาง กำไรส่วนหนึ่งที่ได้รับถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นกระชังปลาเจ็ดห้องซึ่งดารุสแนะนำให้ผมเลี้ยงปลากะพงเพิ่ม เพราะบางช่วงเมื่อถึงหน้ามรสุม ก็ไม่สามารถออกทะเลได้ อย่างน้อยเราก็ยังมีงานมีการอยู่หลังบ้าน ดารุสและเพื่อนจึงรับดูแลกันไปคนละห้อง เราลงพันธุ์ปลาห้องละสามร้อยตัว ทุกๆ วันดารุสจะเป็นคนไปรับซื้อปลาทรายตัวเล็กๆ ซึ่งติดอวนใหญ่ชาวประมงจ้าวอื่นๆ มาสับเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นอาหารในกระชัง ถึงช่วงหน้าร้อนปลายเดือนกุมภาพันธุ์ เราก็ยังสามารถเก็บสาหร่ายส่งขายตามท้องตลาดได้อีก..
วันเวลาผ่านไปเป็นเดือน และปี.. ผมเพิ่มพูนรายได้ขึ้นมากมายซึ่งสามารถเก็บเป็นต้นทุนส่วนตัวไว้ใช้ในยามจำเป็น ทั้งดารุสและเพื่อนก็ต่างมีเงินใช้ ซ่อมแซมเรือ ปลูกสร้างบ้านเรือน ทั้งยังมีเหลือเก็บอีกเป็นบางส่วน..

พ่อและแม่ประทับใจในตัวผมมากขึ้น ช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ท่านทั้งสองจะได้แวะมาเยี่ยมผมที่บ้าน ของฝากมากมายรวมทั้งข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานธุรกิจต่างทยอยมาหาอย่างไม่หยุดหย่อน ท่านทั้งสองยินดีที่จะให้เงินทุนกับผมอีกหากจำเป็น ทั้งสองยินดีที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในทุกๆ เรื่อง.. ผมเองก็รู้สึกดีเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้น..

9

หากไม่อยู่ที่โรงเรียนในช่วงกลางวัน หรือนั่งพูดคุยหารือกับดารุสและสหายผู้ร่วมงานคนอื่นๆ แล้ว ผมก็จะพาตัวเองมาเอนหลังอ่านหนังสือหรือชื่นชมบรรยากาศอันอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าโกงกางบวกกับลำน้ำอันสงบและเยือกเย็นหลังบ้าน จากตรงนี้ผมสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายของระบบนิเวศน์ที่พึ่งพาอาศัยกันอย่างสงบได้อย่างลึกซึ้ง การได้รู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์และการพึ่งพาอาศัยกันและกันของเหล่าพืชพันธุ์ สัตว์น้ำ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ช่วยจรรโลงใจผมให้เคารพต่ออำนาจความเป็นไปของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากการเคลื่อนไหวอย่างสงบของอำนาจเหล่านั้น..กระแสน้ำขึ้นน้ำลงที่นี่มีผลอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของสรรพสิ่งทั้งหมดรวมทั้งมนุษย์ ทุกๆ อย่างเสมือนอยู่ร่วมกันได้ด้วยการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในลำคลองและในป่าโกงกาง ต่างก็จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผืนป่าเพื่อเป็นที่อาศัย และการวางไข่อีกทั้งการอนุบาลตัวอ่อน..ต้นพังกา ตะบูน หรือหญ้าทะเลที่ขึ้นสลับซับซ้อนตรงตลิ่งก็เช่นเดียวกัน แม้รากของมันจะดูเก้งก้างไม่เป็นระเบียบ แต่นั่นแหล่ะคือตัวกรองอย่างดีที่จะทำหน้าที่กรองเศษไม้ใบไม้ไว้ให้เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์น้ำ และนั่นแหล่ะคือกันชนอย่างมั่นคงที่ผืนดินพึงมี..ทุกๆ อย่างที่นี่มีผลเกื้อกูลกันหมด..
เช่นเดียวกันกับการเป็นอยู่ของคนที่นี่ การคบหาสมาคมกันเยี่ยงครอบครัวเดียวกันเสมือนเป็นรากฐานอันชัดเจนที่มีผลต่อความสงบสุข เมื่อการไปมาหาสู่ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันคือกิจวัตรของความเป็นไปของคนที่นี่ ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชนจึงกลายเป็นความสงบสุขที่ต่างก็รักใคร่ปรองดองกัน.. อำนาจแห่งความเยือกเย็นและสุขุมของการเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายของธรรมชาติและการดำรงชีวิตตามแนวทางของศาสนาที่นี่มีผลอย่างยิ่งต่อการสรรค์สร้างความสงบสุขและอยู่ดีกินดีของคนที่นี่.. ผมทึ่งกับความเป็นไปเช่นนี้จริงๆ..

ผมไม่รู้หรอกว่าดารุสและคนอื่นๆ จะรู้สึกดีแค่ไหน ที่ผมมีส่วนเข้ามาทำให้การเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น อีกทั้งต่างก็ได้มีเงินมีทองเก็บกันถ้วนหน้า.. ผมรู้สึกดีทีเดียวที่ตัวเองได้ทำคุณประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อชุมชนและการได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับทางบ้าน..

นอกเหนือจากการชื่นชมธรรมชาติตรงหลังบ้านและการได้นึกคิดถึงความเป็นไปของตัวเองแล้ว มันอดไม่ได้ที่ผมต้องสังเกตไปยังเรือนสังกะสีเล็กๆซึ่งถัดไปจากบ้านของตัวเอง.. หลายวันแล้วที่ผมไม่ได้นึกถึงฟารีดาและครอบครัว.. พวกเขาดูนิ่งๆ อยู่เสมออย่างที่เป็นมา.. เลาะหายป่วยแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับดารุสและผม ด้วยเหตุผลประการใดหรือความคิดเห็นเช่นไรผมก็ไม่ได้รู้เสียอย่างละเอียด แค่บอกดารุสถึงความตั้งใจที่จะไม่ขอออกทะเลอีก แต่จะใช้เรือเล็กหาปลาหาปูในลำคลองใกล้ๆ บ้าน เพราะคงเห็นใจฟารีดาและลูกที่ต้องอยู่บ้านลำพัง ทั้งดารุสและผมจึงไม่อยากที่จะเคี่ยวเข็ญอะไรมากมาย..

ฟารีดาดูเงียบๆ ซึมๆ กว่าเก่าที่เคยเป็น สายตาของหล่อนมองผมแปลกๆ ทุกๆ ครั้งที่ต้องสบตากัน จากแต่ก่อนที่เคยเห็นรอยยิ้มมุมปากของหล่อนอยู่บ้างเมื่อต้องพบเจอกันที่บ้านลุงเฝนหรือเมื่อผมเดินผ่านหน้าบ้าน.. แต่เดี๋ยวนี้ซิ หล่อนมองผมแปลกๆ..

หลังจากเลาะหายป่วยทุกอย่างในบ้านของหล่อนคงเริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้น ก่อนหน้านี้อาจเป็นเรื่องทรหดพอสมควรที่เมื่อเสาหลักของบ้านต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ผู้เป็นแม่บ้านก็จำต้องรับภาระขึ้นเป็นสองเท่า.. ดีอยู่ที่บางวันได้ฝากลูกน้อยไว้กับป้าสาวให้ฟารีดาจะได้มีเวลาเต็มที่ ที่จะไปทำโน่นทำนี่แลกกับข้าวกับปลา อาหารประทังครอบครัว หากช่วยลุงเฝนเก็บปลาเก็บปูในเรือแล้ว หล่อนก็จะได้เงินเหลือบางส่วนซื้อยารักษาสามี..ถึงตอนนี้แล้วคงไม่น่าจะเป็นห่วงมากมาย เพราะเมื่อเลาะปกติดีแล้วก็เหมือนมีแรงงานหลักกลับมา ฟารีดาจากที่เคยวุ่นอยู่ทุกวี่วัน ก็กลับมารับผิดชอบงานง่ายๆ เหมือนเดิมที่เคยเป็นอยู่..

หล่อนดูกรำแดดไปกว่าเดิมที่เคยพบเจอ หน้าตายิ่งดูยิ่งเหมือนจะแก่กว่าวัยที่เป็นอยู่ ใบหน้าหมองคล้ำ ทั้งร่างกายก็ดูซูบผอมไปกว่าเดิม.. แต่ก่อนหน้าตาอิ่มเอิบกว่านี้เยอะ.. ผิวหน้ามีน้ำมีนวลบวกกับแววตาที่สดใสของสาวแรกรุ่น ความน่าสนใจในตัวเธอเหมือนเริ่มที่จะลบเลือนไปก่อนวัยที่จะเป็น... สาบานได้เลยว่าครั้งแรกที่เจอ หล่อนมีหน้าตาชวนชมกว่านี้ ใบหน้าที่สวยใสไร้ริ้วรอยชวนให้ผมต้องจับจ้องมองหล่อนอยู่เสมอ.. และสาบานได้อีกว่าผมเคยแอบหลงชอบหล่อนอยู่ด้วยในใจลึกๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่หรอกว่าหล่อนมีเลาะอยู่แล้ว.. แต่ใครจะไปบังคับจิตใจตัวเองไหวล่ะ

ฟารีดาน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ทั้งวัยและหน้าตาของหล่อนไม่ควรสูญหายไปกับความลำบากเช่นนี้ ผมนึกเห็นใจหล่อนอยู่เสมอ แต่ก็ได้แค่เห็นใจอยู่หรอก ผมก็ไม่รู้เลยเหมือนกันว่า คนนอกที่เข้ามาเป็นเพื่อนบ้านของหล่อนและครอบครัวนั้นจะมีพื้นที่มากน้อยแค่ไหนที่จะเข้าไปทักทายหรือหยิบยื่นไมตรีจิตให้กันและกันได้..





10

การงานของผมที่นี่ดำเนินไปอย่างดี อาชีพครูในชนบทมันสุขใจเสียเหลือเกิน กับการได้ใกล้ชิดกับเด็กในชั้นเรียนและผู้ปกครองของพวกเขา ผมสนิทสนมเป็นอย่างดีกับชาวบ้านเกือบทั้งหมดในชุมชนแห่งนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วต่างก็เริ่มเข้ามาร่วมงานกับผม โดยผู้ชายไม่เข้ามาร่วมออกทะเลกับดารุส ก็จะออกเรือหาปลา หาปูเอง ได้วันละเท่าไหร่ก็จะนำมาส่งให้กับผมเพื่อนำส่งแพปลาที่ปากบารา.. ส่วนผู้หญิงบางส่วนก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแกะปลาจากร่างแหร่างอวนที่พวกผู้ชายนำกลับมาจากทะเล ความสนิทสนมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันโดยการร่วมงานร่วมการกันอย่างแข็งขัน แม้แต่ครูใหญ่ก็ด้วย เรายังมีแผนงานร่วมกันอีกมากมายที่จะพัฒนาธุรกิจตรงนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป..
เว้นแต่เลาะและฟารีดาที่ยังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเราเสียสักเท่าไหร่ ผมไม่เคยรู้หรอกว่าด้วยสาเหตุเช่นใด.. แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมน่าจะมีความกล้ามากกว่านี้ที่จะพาตัวเองเข้าไปพูดคุยกับหล่อน.. จนป่านนี้แล้ว ผมก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหล่อน ไม่นึกเลยว่าแม้เราจะอาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน แต่ไม่สามารถสนทนาไต่ถามกันได้.. เคยอยู่หลายครั้งเหมือนกันหรอกที่ผมพยายามรวบรวมความกล้าของตัวเองเพื่อจะได้เข้าไปไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันบ้าง แต่ทุกครั้งเมื่อสบสายตาหล่อนแล้ว ความกล้าของผมก็ต้องสูญหายอยู่เสมอ แม้ในขณะที่เลาะล้มป่วยนอนพักอยู่กับบ้าน ผมก็ยังไม่อาจย่ำกรายเข้าเยือนเรือนหลังนั้นเพื่อเยี่ยมป่วยเพื่อนบ้านได้เลย บางอย่างมันทำให้ผมกลัดกลุ้มเสียเหลือเกินกับความจริงที่เกิดขึ้น..

ผมเห็นใจเหลือเกินกับความเป็นไปของฟารีดาและครอบครัว..หล่อนน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เราน่าจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างเช่นเพื่อนบ้านในชนบททั่วไป.. บางอย่างมันอาจทำให้ดูอึดอัดเสียจนเกินไป..ผมยังเฝ้ารออยู่หรอกที่จะให้ถึงวันเวลานั้น ช่วงเวลาที่เราจะคุยกันเสมือนญาติมิตร วันที่ฟารีดาจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ และพูดคุยกับผม..แต่คงสายเกินไปเสียแล้ว ช่วงปิดเทอมใหญ่ซึ่งผมเดินทางกลับเยี่ยมเยียนครอบครัวนั้น ลุงเฝนบอกเลาะขายเรือและเครื่องมือประมงให้กับคนอื่น ก่อนพาตัวเองและครอบครัวย้ายเข้าไปทำงานรับจ้างในเมือง.. หลายๆ สิ่ง หลายอย่างคงเปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของฟารีดาและครอบครัว บางอย่างมันยังก่อตัวเป็นความเห็นอกเห็นใจลึกๆ ในทรวงอกของผม..แต่กระนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม..
.....................................................................................................................