1
แม่บอกลูกๆ ทุกคนจะต้องไม่ลำบากเหมือนพ่อและแม่.. .”สมัยก่อนชีวิตพ่อและแม่ผ่านพ้นอะไรมาบ้าง ลูกๆ คงไม่รู้หรอก ความลำบากยากเข็ญมันเสมือนเพื่อนร่วมชีวิตเรามาเสมอ กว่าจะได้ลืมตาอ้าปากเหมือนชาวบ้านเขา ครอบครัวเรามีเรื่องราวให้จดจำเป็นอุทาหรณ์ย้ำเตือนพ่อและแม่มากมาย.. มันไม่ดีเลย หากต้องวนเวียนมาเผชิญกับชีวิตของลูกๆ อีกครั้ง ความคาดหวังของพ่อและแม่จึงอยู่ที่การให้ลูกๆ มีชีวิตอยู่ดีกินดี ไม่ต้องทนทุกข์ลำบากเหมือนท่านทั้งสองในอดีต”
ใช่ซิ.. ผมไม่เคยลืมหรอก ทุกๆ คำสอนสั่งที่เคยได้ยินจากปากของพ่อและแม่ วันเวลามันย่ำเดินไม่เคยหยุดหย่อนให้มนุษย์ได้มีเวลาขบคิดหรือตั้งสติหรอก มันทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน ทุกๆ วินาทีมันขับเคลื่อนชีวิตคนเราให้มุ่งไปแต่เบื้องหน้า แม้บางช่วงเวลาที่เคยผ่านพ้น อาจจะยังเป็นช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ แต่มันก็เก็บมาได้แค่ความรู้สึกไว้เพียงจดจำ “คนเราทุกคนควรย่ำเดินไปข้างหน้า อย่ามัวเสียเวลากับอดีตที่มันผ่านเลยไป” พ่อบอกเช่นนั้น
แต่พ่อก็เล่าให้ผมฟังอยู่เสมอ ถึงเรื่องราวในอดีตที่ทั้งพ่อและแม่เคยผ่านประสบมา ชีวิตของทั้งสองท่านไม่เรียบง่ายเลย การได้เกิดมาเป็นลูกคนจน มันหมายถึง ความจนในทุกๆ ด้าน ทรัพย์สิน ที่ทางทำกิน หรือแม้แต่หนทางที่จะดำเนินชีวิตให้มันสงบสุขเหมือนๆ กับคนอื่นๆ เขา.. พ่อไม่เคยคาดหวังเลยกับความมั่นคงหรือความมั่งมีในชีวิต แค่ให้ชีวิตในแต่ละวันได้มีข้าวกิน ที่ซุกหัวนอน มันก็คงจะเพียงพอแล้วกับการแบกหามร่างกายของตัวเองให้ผ่านไปวันต่อวัน..
พ่อเคยทำงานมาหลายอย่างประทังชีวิตตัวเอง แกเคยอยู่เรือขนส่งสินค้าไป ประเทศมาเลเซีย มันเป็นงานที่คนหนุ่มจากชนบทริมทะเลอันดามันแถบจังหวัดสตูลทำกันส่วนใหญ่ แต่มันเป็นงานที่หนักมาก พ่อไม่ชอบเอาเสียเลย การต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือขนส่งทีละหลายๆ ชั่วโมง บวกกับการแบกหาม มันเหนื่อยล้าทั้งกายและจิตใจที่หว้าเหว่ มันไม่มีทางเลือก สถานการณ์ทางบ้านมันผลักดันให้พ่อต้องต่อสู้บนวิถีชีวิตเยี่ยงนี้
แต่วันเวลาเหล่านั้นมันแลกมาด้วยความอดทนอดกลั้นเสมอ พ่อไม่เคยย่อท้อต่อความลำบากยากเข็ญเพียงไร ชีวิตพ่อมันลำบากมาตั้งแต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่ต้องระเหเร่ร่อนแล้ว เราผูกพันมากับทะเล กับคลื่นลมและแสงแดดที่เจิดจ้า จะให้ไปปักหลักถิ่นฐานที่ไหนได้ บนบกหากไม่ใช่พื้นที่เขตป่าสงวนแล้ว มันก็คือที่ทางทำกินของคนอื่นๆ หากมีโอกาสได้ขึ้นบกบ้าง ก็จำต้องเข้าไปหางานในฟาร์มกุ้งของนายทุน หรือไม่ก็จำต้องย่ำเท้าหางานแบกหามทั่วไปที่มีกระจัดกระจายตามโรงงานใหญ่ๆ แถบท่าเทียบเรือ...
การขนส่งมันดำเนินอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน ที่ซุกหัวนอน ที่กิน และที่ทำงานของพ่อเลยมีอยู่ ตราบใดที่ตัวแกยังมีสิทธิ์ที่จะแบกหามสินค้าบนเรือขนส่งเหล่านั้น
จนมาเจอแม่... แม่ผู้ผ่านประสบชีวิตที่ต้องผูกพันมากับความลำบากเช่นกัน ถึงแม้ครอบครัวของแม่จะพอมีที่ทางทำมาหากินบนเนื้อที่ริมคลองอยู่บ้างให้พอดักปู หาปลาเลี้ยงครอบครัว แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน แม่เลยต้องพาตัวเองติดกลุ่มเพื่อนละแวกบ้านขึ้นมาทำงานบนเรือจนเจอกับพ่อ บนวิถีแห่งความยากลำบากย่อมนำพาบุคคลที่พบเจอแต่ความยากลำบากมาเจอะเจอกันเสมอ พรมลิขิตมันน่าจะขีดไว้เช่นนั้น วันเวลาจึงประสานทั้งสองท่านให้เป็นคู่เคียงชีวิตที่ต้องร่วมลำบาก ถึงแม้ช่วงเวลาที่จะได้เคียงคู่ปลอบโยนจิตใจกันบนวิถีเช่นนี้จะมีโอกาสน้อยนัก แต่ความรักและเห็นอกเห็นใจกันมันนำพาให้ทั้งพ่อและแม่อดทนอดกลั้นสะสมเงินทองมากองรวมกัน และกลับมายังถิ่นฐานที่แม่เคยอยู่ หาหนทางใหม่ที่มันน่าจะเหมาะสมกว่าการต้องระเหเร่ร่อนไปกับเรือขนสินค้า
ความขยันหมั่นเพียรมันมีอิทธิพลเหลือเกินกับความเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น พ่อและแม่ช่วยกันทำมาหากินอย่างแข็งขันบนทางชีวิตใหม่..ฟาร์มเลี้ยงกุ้งเกิดขึ้นมากมายบนเนื้อที่แถบชุมชนที่เคยเป็นนาข้าวของชาวบ้านในหมู่บ้านที่แม่เคยอยู่ งานที่สามารถแลกกับเงินได้จึงมีมากมายไว้รองรับคนขยันหมั่นเพียรอย่างพ่อและแม่..
งานในฟาร์มกุ้งมันไม่หนักมากสำหรับพ่อและแม่ แถมยังได้เงินดีอีก หากครั้งใดที่ขายกุ้งได้เยอะจนเป็นที่พอใจของเจ้าของฟาร์ม พ่อกับแม่ก็จะได้ค่าตอบแทนและของกำนัลดีๆ เสมอ ทั้งสองพอมีเงินเก็บอยู่บ้างที่จะสามารถก่อร่างสร้างเรือนเล็กๆ บนเนื้อที่ริมคลองเขตป่าสงวน มันไม่ต้องเสียเงินซื้อที่ดินใหม่ ใครๆ เขาก็สร้างกันมาเยอะแยะ ถึงจะเป็นเขตป่าสงวน แต่ลำคลองมันเป็นของสาธารณะ บ้านหลังน้อยๆ จึงถูกก่อร่างสร้างขึ้นยื่นออกมาในลำคลองพอประมาณให้เป็นที่พักพิงได้
ชีวิตของพ่อและแม่เลยอยู่ในขั้นดีขึ้นบ้างจากแต่ก่อน อย่างน้อยทั้งสองก็มีบ้าน มีงานที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่มันก็ไม่ตลอดรอดฝั่งเสียทีเดียวหรอก ภาระที่ทั้งสองต้องแบกหามมันมากขึ้นพร้อมๆ กับความสะดวกสบายที่ทั้งสองต่างพอใจที่จะมี
ความฝันของพ่ออย่างหนึ่ง คือการพยายามเก็บเงินให้เยอะเพื่อมีเรือเป็นของตัวเอง อย่างน้อยการทำมาหากินก็จะง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เพราะทั้งป่าโกงกางและลำคลองที่นี่เสมือนคลังอันมหาศาลที่โลกพึงมีแด่มนุษย์ ผู้คนที่นี่ทำมาหากินกันหลายวิธี ดักจับสัตว์น้ำ ขุดไส้เดือนในป่าโกงกางเพื่อเป็นหัวอาหารอันโอชะแก่แม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ ตัดไม้โกงกางเผาเป็นถ่านขายส่งโรงงานใหญ่ หรือแม้กระทั่งรับจ้างตัดไม้ส่งนายทุนเพื่อการก่อสร้าง เหล่านี้ แค่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง ทุกๆ อย่างก็จะราบรื่นไปหมด
อยู่ฟาร์มกุ้งได้ไม่นาน พ่อและแม่เก็บเงินได้เยอะพอที่จะจ่ายค่าจ้างให้กับช่างฝีมือดีๆ โค่นต้นพยอมใหญ่ลงมาต่อเรือหัวโทงให้ฝันของพ่อเป็นจริงขึ้น.. การทำมาหากินไม่ใช่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป พ่อใช้เวลาในตอนเช้าเข้าไปในป่าโกงกางกับแม่พร้อมจอบและพร้าขุดไส้เดือนส่งขายให้กับเจ้าของฟาร์มกุ้งที่พ่อเคยทำงานมาก่อน ไส้เดือนเหล่านั้นล้วนเป็นอาหารเสริมชั้นยอดทีเดียวสำหรับแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ การขุดหาก็ไม่เห็นจะยากอะไรมากมาย แค่เข้าไปในป่าโกงกางเลือกที่เหมาะๆ ขุดหรือเจาะเป็นโพรงลอดเข้าไปใต้รากต้นโกงกาง แค่นี้เราก็ได้ไส้เดือนตัวโตๆ นำไปขายได้เงินดีอยู่ ตกเที่ยงก่อนกลับมาบ้านพ่อก็ตัดไม้โกงกางติดเรือกลับมาส่วนหนึ่งเข้าเตาเผาถ่านส่งขายให้กับเรือใหญ่ซึ่งจะนำส่งประเทศมาเลเซีย ถึงช่วงบ่ายหลังทานข้าวทั้งสองมีเวลาได้พักผ่อนบ้างสักครู่ใหญ่ ก็นำไซบ้างเบ็ดบ้างออกหาปูหาปลาไว้สำหรับมื้อค่ำ... ชีวิตทั้งสองจากที่เคยผ่านพ้นความลำบากมาเริ่มส่อเค้าดีขึ้น แม่มีเงินเก็บที่พอให้ออกไปจับจ่ายตลาด ซื้อผักซื้อผลไม้มาทานมาเก็บไว้บ้าง พ่อก็พอมีโอกาสซื้อนกกรงหัวจุกมาเลี้ยงหัดให้ร้องเก่งๆ ส่งเข้าประกวดตามประเพณีต่างๆ พ่อชอบนกกรงหัวจุกมานาน แต่ด้วยฐานะที่มันไม่มีแม้กระทั่งที่พักพิง เลยไม่เคยมีโอกาสให้พ่อได้เลี้ยงหรือชื่นชมอย่างคนอื่นๆ
พ่อบอกครอบครัวของเราโชคดีที่ได้มาพึ่งพิงญาติพี่น้องฝ่ายแม่ในชุมชนแห่งนี้ เป็นชุมชนชาวเลที่สร้างบ้านริมฝั่งคลองติงหงี ลำคลองที่ทอดยาวออกไปสู่ทะเล สองฝั่งถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าโกงกางอันอุดมสมบูรณ์ ทุกๆ ครอบครัวอยู่ร่วมกันเสมือนพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน ต่างก็ดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเสมอ พ่อเล่าให้ฟังว่า.. ทุกๆ คนที่นี่ต่างก็เคยใช้ชีวิตกันอย่างลำบาก กว่าพวกเราจะมีวันนี้ได้ วันซึ่งต่างก็มีที่พักพิงและที่ทางทำกินกันเป็นที่เป็นทาง พวกเราต่างก็ต้องต่อสู้กันมาทั้งนั้น การได้มาลงหลักปักฐานอยู่กินกันที่นี่ได้ ถือเป็นความเมตตาอย่างยิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีแด่บ่าวของพระองค์......
ผู้คนที่นี่อยู่กินกันอย่างร่มเย็น.. ผืนป่า สายน้ำ และวีถีแห่งการดำรงชีวิตตามแบบอย่างอันประเสริฐของศาสดาคือหนทางที่บ่มเพาะให้ทุกคนต่างเผชิญหน้ากันด้วยไมตรีจิต ทุกๆ ครอบครัวต่างก็อยู่กินกันบนพื้นฐานของความเรียบง่าย เรามีกินมีแบ่งกันเสมอ เราถูกสอนให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักใคร่ ปรองดอง และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เราไม่มีบทลงโทษหรือข้อตกลงใดๆ ต่อการเป็นอยู่ที่ตายตัว.. แต่วีถีหรือแบบอย่างของการดำรงชีพที่ตกทอดต่อกันมามันประสานให้เราอยู่กับมันอย่างกลมกลืน.. การประกอบอาชีพ ความครื้นเครงและการศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าเสมือนดั่งอุปนิสัยของการเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่มาแต่ครั้นอดีต...
2
เมื่อความอยู่ดีกินดีเคยเสมือนความคาดหวังอันสูงส่งของหลายๆ ครอบครัวที่นี่ แม้จำต้องเผชิญกับความมุ่งมั่นอุตสาหะ หรือต้องแลกกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักเพียงไร ชีวิตที่แต่ละครอบครับต่างก็ต้องต่อสู้กันมาเลยปรับเปลี่ยนให้หนทางของการดำเนินชีวิตที่ย่อมต้องดีขึ้นตามความมานะบากบั่น.. หลายๆ ครอบครัวจากเดิมที่เคยต้องระเหเร่ร่อนก็ได้มีที่ทางทำกินที่มั่นคงขึ้น บางครอบครัวได้มีโอกาสสร้างบ้านเรือนใหญ่โต มีรถราขับ และอีกหลายๆ ครอบครัวเช่นกันที่ได้มีโอกาสส่งลูกให้ได้เล่าเรียนสูงๆ จนจบออกมามีงานมีการดีๆ ในเมืองใหญ่ หรือบ้างก็กลับเข้ามายังถิ่นฐานเดิมเพื่อก่อร่างสร้างตัวด้วยธุรกิจจากขนาดย่อมจนถึงกิจการใหญ่ๆ อย่างการลงทุนเรือประมงหาปลาขนาดใหญ่มีลูกจ้างมากมายประจำ..
ท่าเทียบเรือเล็กๆ ที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ด้วยไม้พังกาอย่างเช่นอดีต บัดนี้ถูกสร้างเสียใหม่เป็นแพปลาคอนกรีตให้เรือประมงใหญ่เทียบท่า..ริมคลองจากแต่ก่อนที่เคยเห็นเพียงแต่ชาวประมงกับเรือเล็กเที่ยวดักปูปลาตามริมน้ำแนวเขตป่าชายเลน บัดนี้กลายเป็นกระชังเลี้ยงปลามากมายกระจัดกระจาย
วิถีชีวิตของคนที่นี่ต่างก็ดำเนินอยู่ด้วยการต้องประกอบอาชีพ หลายๆ คนได้เป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะด้วยความมานะบากบั่นและการเก็บออม แต่ก็ยังมีบ้างบางส่วนที่ประกอบอาชีพด้วยการเป็นลูกจ้างในกิจการมากมายที่เกิดขึ้นในชุมชน
หลายสิ่งหลายอย่างในชุมชุนได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางที่แต่ก่อนเคยเป็นแค่ทางลูกรังปนทรายแคบๆ ตามแบบอย่างถนนชนบท บัดนี้ถูกสร้างใหม่ให้น่าขับขี่ขึ้นด้วยคอนกรีต.. ร้านรวงต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งโรงเรียนในชุมชนที่ได้รับความสนับสนุนมากมายจากทางการให้ได้มีการพัฒนาในเรื่องของวิชาการและความสะดวกสบายในการเรียนการสอน เด็กๆ ในชุมชนได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดในชั้นประถมเพื่อจบออกไปต่อชั้นมัธยมในเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ หลายๆ คนมีสิทธิ์ศึกษาต่อในสถาบันดีๆ เพราะด้วยพื้นฐานทางปัญญาและความมั่งมีของทางบ้านที่มีความตั้งใจสูงให้ได้ศึกษาต่อไป..
ความตั้งใจของพ่อและแม่สำหรับผมจึงเป็นความตั้งใจเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของลูกๆ ในครอบครัวอื่นๆ ท่านทั้งสองอยากให้ผมเรียนต่อสูงๆ แล้วจบออกมามีการมีงานที่มั่นคง.. “พ่อบอกหากเรามีความมุ่งมั่นแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆ เราก็จะสามารถทำได้ และไม่เคยมีผู้ใดหรอกที่เกิดมาแล้วต้องเผชิญอยู่แต่กับความลำบาก หากผู้นั้นมีความมุ่งมั่นและมานะบากบั่น แม้หนทางที่ตัวเขาต้องประสพนั้นจะยากเย็นแสนเข็ญก็ตาม เขาก็จำต้องประสบความสำเร็จ” พ่อเปรียบเปรยถึงครอบครัวอื่นๆ ที่ลูกๆ ของเขาประสบความสำเร็จให้ผมฟังอยู่เสมอ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ต้องต่อสู้ “ไม่มีใครหรอกในชุมชนแห่งนี้ที่เจริญก้าวหน้ามาได้ด้วยการอยู่เฉยๆ พวกเขาต่างก็เคยต้องดิ้นรน ต่อสู้กันทั้งนั้น”
แม้พ่อและแม่จำต้องบากบั่นทำงานกันอย่างหนักขึ้น เพียงให้ผมได้มีทุนเพื่อการเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมปลาย แต่ทั้งสองก็ไม่ยอมให้ผมหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ตัวอย่างของคนหนุ่มสาวหลายๆ คนในชุมชนที่ได้เล่าเรียนกันสูงๆ ในเมืองใหญ่มันมีแต่ภาพของผู้ที่กลับมาพร้อมความมีอยู่มีกินที่ดีขึ้น ทั้งการได้เป็นที่พึ่งพิงของคนทางบ้าน..เช่นนั้น พ่อและแม่จึงเห็นร่วมและตั้งใจสูงส่งที่จะให้ผมไปเรียนต่อ และต่างก็หวังไว้อย่างยิ่งที่จะเห็นภาพของผมเช่นนั้นในเร็ววัน..
“จนผมมาเป็นนักศึกษา...เป็นปัญญาชนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีสติปัญญา เป็นผู้ซึ่งมาหาความหมาย ผู้ที่ต่างก็มีอนาคตอันยาวไกล และเป็นผู้มีความฝัน... ผมถูกสอนให้รักโลกเช่นนี้ โลกที่เราผู้เรียน คือผู้ที่เกิดมาพร้อมสิทธิและโอกาสที่จะเรียนรู้และปฏิบัติตนอย่างผู้มีวัฒนธรรม อันหมายถึงการดำเนินชีวิตตามมูลค่าที่เคลื่อนไหวตาม ความรวนเรของจิตใจอันแข็งกระด้างของมนุษย์ เราถูกสอนให้เป็นเยี่ยงนั้น เยี่ยงนกที่เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติและจิตวิญาณของนก แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงเพื่อทำหน้าที่ นักฝัน ท่ามกลางขอบเขตอันแข็งแก่รง... ผมพึงพอใจกับสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่ได้ด้วยความอยากของจิตใจ.. ความอ่อนโยนแห่งคืนวันยังคือคุณค่าอันบริสุทธิ์ ผมไม่ได้เกิดมาเพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเกิดมาตามธรรมชาติที่ทะนุถนอมพ่อและแม่ของผมอย่างอบอุ่น..โลกของผมกว้างกว่านั้น” ผมค้นหาช่วงขบคิดถึงสิ่งนี้เสมอ
พ่อและแม่ต่างมีความตั้งใจร่วมกันให้ผมมาเผชิญชีวิตที่นี่ และผมก็เห็นร่วม.. ถึงแม้ความรื่นเริงในวัยเด็กจะคอยฉุดรั้งจิตใจอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังอยากเดินหน้า เดินไปตามทางที่แม้ตัวเองก็ยังไม่รู้ที่สิ้นสุดก็ตาม กำลังใจและบทเรียนของพ่อและแม่มันยังดำรงในจิตใจของผมอย่างเยือกเย็น..
“ความรื่นเริงในวัยเด็ก” สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงความรื่นเริงที่อยู่เหนือความยากลำบากของผู้อื่น ผมไม่ได้มีความสุขในวัยเด็กในขณะที่ทั้งพ่อและแม่ของผมหยัดยืนอยู่บนฐานของความยากจนหรอก เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันรวมกันเป็นวิถีที่ไม่ได้มีแต่ด้านของการดิ้นรน หรือการขวนขวาย แต่มันเสมือนทางเดินชีวิตที่ต่างก็เขียนกันขึ้นด้วยชีวิต และต่างสัมผัสมันอย่างรู้คุณค่า ไม่ใช่การแสวงหาความหมาย... ผมมาจากโลกแห่งนั้น.. เสมือนดอกหญ้าทะเลที่งอกสอดแทรกสุมทุมพังกาที่แตกรากยึดหน้าดินในป่าโกงกาง ชีวิตผมเสมือนพันธุ์ไม้ซึ่งผลิดอกเบ่งบานท่ามกลางความอุตสาหะ ของพันธุ์ไม้ครึ่งบกครึ่งน้ำที่พยายามสร้างกำแพงความมั่งคงของผืนดิน และจิตใจกตัญญูของผมก็บังเกิดที่นั่น..
ถึงแม้สิ่งที่พ่อและแม่เคยทำเพื่อการค้ำจุนชีวิตจะมีความผิดแผกหรือผิดกฎเกณฑ์บ้านเมืองและความคงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติบ้างก็ตาม แต่มันคือ “รอยย่างก้าว” หรือร่องรอยของเรื่องราวการต่อสู้ที่จะเป็นบทเรียนอันมั่นคงแด่ผู้เกิดมาเบื้องหลัง... และมันคือผม คือดอกผลของพ่อและแม่ที่ถูกหล่อหลอมมาให้พาตัวเองออกจากความรู้สึกยากเข็ญ เหน็ดเหนื่อยหรืออ่อนล้า ผมถูกส่งให้มาอยู่เมืองกรุงเพื่อสิ่งอื่น... เพื่อความสะดวกสบายหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ความคาดหวังของพ่อและแม่บอกผมประมาณนั้น
ค่านิยมของคนกรุงมันปลิวว่อนไปไกลจนถึงถิ่นฐานที่ผมเคยกำเนิด และช่วงหนึ่งในชีวิตของพ่อและแม่ มันไม่ได้ฉุดรั้งท่านทั้งสองให้มาเผชิญชีวิตที่นี่ แต่มันดึงผมมาด้วยความมุ่งมั่น,, ความมุ่งมั่นเพื่อสิ่งอื่นๆ... ความมุ่งมั่นที่ผมเต็มใจขวนขวายพาตัวเองมา และผมก็พร้อมที่จะเจอกับทุกๆ แขนงสาขาวิชาที่ถูกวางเป็นรากฐานให้เราพบเจอ
พ่อและแม่ผมเคยลำบาก..ใช่.. มันเตือนสติอันอ่อนไหวของผมอยู่เสมอ.. ผมไม่เคยลืมที่จะนึกถึงเรื่องราวของท่านทั้งสอง ผมจากบ้านมานาน นานเสียเหลือเกินจนรอยย่างก้าวแรกที่นำผมออกจากบ้านมาดูเหมือนจะพร่ามัว.. ทุกๆ ย่างก้าวที่นำผมมาจนวันนี้มันมีแต่ผลักไสให้ผมห่างจากบ้าน ออกห่างจากความรู้สึกเดิมๆ ซึ่งอุ่นละไม.. แต่ผมก็พร้อมใจเสมอที่จะปล่อยให้ชีวิตของผมลื่นไหลไปกับกระแสเชี่ยวกรากของวันเวลา ภาพเบื้องหลังมันจะทรงพลังมากแค่ไหนต่อจิตใจเบื้องหน้า หากมันเป็นได้แค่ภาพของความทรงจำ จับต้องไม่ได้เหมือนภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏเสมอ..
มันเสมือนเป็นภารกิจ ใช่ มันเหมือนเป็นภารกิจสำหรับผมที่ต้องสู้.. ความปรารถนาดีของพ่อและแม่แปรเปลี่ยนเป็นความหวังให้ผมพลันลุกสู้อยู่เสมอ... ผมไม่ควรลำบาก.. พ่อและแม่คาดหวังเช่นนั้น เช่นเดียวกับพ่อและแม่ในครอบครัวอื่นๆ ละแวกบ้านที่ต่างตั้งความหวังให้กับลูกๆ ของตัวเองออกไปต่อสู้.. ชีวิตของเขาเหล่านั้นก็คล้ายคลึงกับเรา มันเป็นเช่นนี้เสียส่วนใหญ่ คนเลมันผูกพันมากับความลำบากเสมอ ลำบากที่เราต้องดิ้นรน ที่เราต้องเจอกับความยากเข็ญ และการต่อสู้ที่เหมือนไม่มีวันสิ้นสุด.. ทุกๆ วันของเรามันกำหนดให้เราต้องคอยผลักดันตัวเองให้พ้นไปในวันพรุ่ง ตำแหน่งของดวงจันทร์และกระแสน้ำขึ้นน้ำลงมันแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ ความเปลี่ยนแปลงเลยเกิดอยู่ทุกวัน ภาวะรอบตัวและ ความอยากของร่างกาย.. มันต่างก็เคลื่อนไหวเสมอ เราจึงอยู่เฉยไม่ได้ หากยืนหยัดที่จะสู้ เราก็ต้องพร้อมและมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ หากวางตัวอยู่เฉยๆ เช่นธรรมชาติชีวิตที่เราเคยเป็น วาระสุดท้ายคือการหนีไม่พ้นความตาย... ความตายที่เสมือนผลลัพธ์ของความต้องทนทุกข์ทรมาน..
แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนเลกลัวความตาย.. ชีวิตของเราแลกมากับความท้าทายที่จะวางเราไว้บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย... จุดมุ่งหมายของเรา (คนเล) จึงมากกว่าการพยายามดำรงชีวิตให้หลีกพ้นจากความทุกข์ทน แต่มันคืออำนาจของสายใยที่ผูกพันเราไว้ในสายเลือดระหว่างครอบครัวและญาติพี่น้อง ลูกหลานของคนที่นี่จึงไม่ควรดำรงอยู่อย่างผู้ทุกข์ทน สิ่งที่คนเลทำมันจึงต้องสร้างสิ่งที่มั่นคงเก็บถนอมเป็นมรดกอันล้ำค่าสืบทอดให้กับคนรุ่นหลัง... มันเป็นบันทึกเรื่องราวที่เขียนเป็นบทเรียนแห่งการต่อสู้
ผมจึงมองเห็นภาพความฝันของพ่อและแม่.. ภาพความอยู่ดีกินดีของครอบครัวที่เบ่งบานในความฝันของท่านทั้งสองเสมอ..
ผมจึงเต็มใจมาอยู่ที่นี่ เมืองกรุง เมืองใหญ่ เมืองหลวง และอีกหลายๆ นิยามความเป็นเมืองที่ต่างก็นิยามให้กับดินแดนแห่งนี้ ผมเต็มใจพาความฝันใฝ่เล็กๆ มาแสวงหาหนทางก่อเกิดที่นี่ ท่ามกลางกระแสแห่งความหลากหลายของการดำรงอยู่ และความวุ่นวายของชีวิต.. มันไม่ต่างอะไรมากกับการก้าวย่างพาตัวเองลงเรือพร้อมเครื่องมือหากินออกสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ อันรวนเร และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความเสี่ยงต่อชีวิตอันบอบบางของเรามีพอๆ กัน ออกเลกันไปไกลๆ เราจำต้องเจอแต่คลื่นลมลูกโตๆ และแสงแดดเจิดจ้า เรือโกโรโกโสลำน้อยๆ ท่ามกลางผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไม่สามารถพึ่งพิงสิ่งใดได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกฝากไว้กับผืนน้ำ และความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า...
แต่ความฝันเบื้องหน้าซิ.. มันช่างไกลเหลือแสน.. เราเคยออกเล เคยผจญหาเส้นขอบฟ้า ค้นหาจุดเชื่อมต่อของฟ้าและทะเล เส้นบางๆ ซึ่งกั้นกลางระหว่างความกว้างใหญ่ของผืนน้ำ และความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้า.. เราเหมือนไม่เจอมัน ยิ่งเราออกเรือกันไปไกลสักเท่าไหร่ ก็เสมือนอยู่กับที่..อยู่กับจุดเดิม.. จุดซึ่งคลื่นลมรวนเรเช่นจุดอื่นๆ.. แต่เราก็พอใจ พอใจกับสิ่งที่เราได้รับในแต่ละวัน พอใจกับปัจจัยยังชีพซึ่งพระผู้ยิ่งใหญ่ประทาน นอกเหนือจากการให้ดำรงอยู่อย่างช่วงคราว ก่อนเดินทางไปสู่วิถีแห่งนิรันดรกาล..
ผมจึงจำต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับความเป็นจริงที่เกิดที่นี่ อยู่กับหนทางซึ่งดีแต่ทำให้เกิดความดันทุรังที่จะมี มีทุกๆ สิ่งแม้จะเป็นปัจจัยที่เหนือความจำเป็นของการดำเนินชีวิตอย่างสั้นๆ แต่พ่อและแม่ก็ไม่ยอมให้ผมท้อ..ยุคสมัยของพ่อเคยลำบากเสียมากกว่านี้ คนเราเกิดมาเป็นคนด้อย จึงจำต้องสู้ สู้เพื่อสร้างพื้นที่ของตัวเองในสังคม สู้เพื่อกอบกู้สิทธิของตัวเราเอง.. หัวใจของการดำเนินชีวิตร่วมกันคือการแบ่งปัน พึ่งพาอาศัยกัน เหมือนดั่งคนเล.. คนเลซึ่งแบ่งปันน่านน้ำ และหยิบยื่นไมตรีจิตต่อกัน..วิถีของเราเช่นนี้ แม้จำต้องต่อสู้ เราก็จำต้องต่อสู้เยี่ยงนักสู้ เยี่ยงผู้ซึ่งมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนานา..
ผมจึงมีวันนี้..วันซึ่งผมยังอยู่ที่นี่ ยังอยู่กับหนทางการต่อสู้ของผู้มุ่งมั่นท่ามกลางภาวะสังคมที่รวนเร สังคมที่ปั่นป่วนเสียยิ่งกว่ามรสุมกลางน่านน้ำทะเล..
“ความมานะบากบั่นในวันนี้ย่อมต้องส่งผลในวันหน้า” พ่อย้ำเสมอให้ผมเชื่อในสิ่งนี้...”ทุกอย่างในโลกต้องแลกมากับความบากบั่น การมุ่งมั่น และการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์นานา” บทเรียนที่พ่อเคยได้รับคือบทเรียนเดียวกันกับที่พ่อให้กับผม...
เมื่อต้องนึกกลับไปถึงอดีต ผมย่อมจำติดตาได้เสมอถึงหนแรกที่ได้ออกเลกับพ่อ รุ่งยังไม่สางที่พ่อและผมต้องติดเครื่องเรือออกสู่ทะเลใหญ่.. อากาศหนาวเหน็บในย่ำรุ่งมันแทรกซึมผิวหนังเข้าไปสัมผัสถึงกระดูก ม่านหมอกบางๆ ล่องลอยจางๆ แลเห็นในคืนมืด พ่อเดินเรือโดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟ แม้เบื้องหน้าจะมืดมิด แต่ความช่ำชองมันนำทางพ่อให้ไปสู่จุดหมายที่มีปลาชุกชุม.. การใช้อวนเล็กดักจับปลาจำต้องมีคนมากกว่าหนึ่ง พ่อแนะวิธีให้ผมได้ลองหัดใช้อวนเล็ก โดยมีแกคอยควบคุยท้ายเรือ ถึงแม้การอธิบายจะดำเนินไปอย่างละเอียดลออจนประหนึ่งเรื่องง่ายๆ แต่กระแสคลื่นลมที่รวนเรกลางทะเลลึกมันบ่อนทำลายความมุ่งมั่นของผมเสียหมด ต้องพยายามหลายๆ ครั้งหลายคราจนชำนาญถึงจะดักจับปู ปลามาได้..ที่นี่ก็คงเช่นเดียวกัน หากไม่ได้อะไรกลับไปเลย การหันหลังกลับตัวเปล่าคงไม่ใช่หนทางที่ควรเป็น เราออกทะเลใหญ่ ดำเนินชีวิตอยู่บนหนทางเสี่ยง ฝ่ากระแสคลื่นลม อากาศร้อนอบอ้าว หรือบางครั้งจำต้องพบเจอกับมรสุม ความเป็นและความตายอยู่ใกล้ชิดกันจนเกือบเป็นเนื้อเดียวกัน จุดมุ่งหมายที่จำต้องแลกมากับความกล้าและทะเยอทะยานคือการต้องได้กุ้งหอยปูปลามากมายกลับเข้าฝั่ง การมาอยู่ที่นี่ของผมจึงมีหนทางเช่นเดียวกัน หนทางของการมุ่งมั่น หนทางของผู้แสวงหาความมั่นคง..
พ่อบอกว่าเราก็ต้องมีชีวิตที่มั่นคงกว่านี้ ถึงแม้เราจะมีบ้านที่พออาศัย อาชีพที่พอจะอยู่กินและได้ส่งเสียให้ผมได้เรียน แต่อนาคตมันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเราจะสามารถกำหนดได้หมดเสียทีเดียว ทุกๆ อย่างในโลกมันผันแปรได้ตลอด คนเราเกิดมาลำบากก็ต้องขวนขวาย เราไม่สามารถที่จะพึ่งพิงผู้อื่นได้ตลอดแม้แต่ตัวเราเอง.. การมานะบากบั่นมันสามารถทำให้เรามีมากกว่าแค่การประทังกาย.. หากเราพยายามมาก สิ่งที่เราได้รับตอบแทนก็ย่อมต้องเป็นความมั่นคงที่หมายรวมความอยู่ดีกินดีและสุขอย่างถาวรไว้ด้วยกัน
พ่อบอกผมเสมออยู่หรอกว่า สังคมทุกวันนี้มันมีหนทางมากมายมหาศาลที่นำพาให้มนุษย์ได้ดำรงอยู่และต่อสู้เพื่อความถูกต้อง วีถีชาวเลที่เคยต้องระเหเร่ร่อนมันไม่จำเป็นที่เราจักต้องดำเนินสืบทอดความลำบากกันชั่วลูกชั่วหลาน การศึกษาปัจจุบันมันมีมากมายหลายแขนงให้คนได้เล่าเรียนเพื่อนำพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก.. หากเรามีความตั้งใจ หนทางและการจัดการที่ดีก็ย่อมซึมทราบเป็นอุปนิสัยให้คนเราได้สร้างชีวิตให้ดีขึ้น มีอยู่มีกิน มีสิทธิ์มีเสียงในสังคม..
พ่อจึงฝันและเฝ้ารอที่จะเห็นผมกลับมาพร้อมความหวัง.. ความหวังที่พ่อตั้งใจรอให้ชีวิตของเราในครอบครัวได้อยู่ดีกินดีและมั่นคง พ่อบอกให้ผมไม่ต้องห่วงทางบ้าน ทั้งพ่อและแม่มีงานประจำอยู่แล้ว สามารถเก็บเงินทุนปันส่วนจากค่าข้าวค่ายาส่งเสียให้ผมได้เรียน เรียนเพื่อความรู้และทักษะที่จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานที่ดีกว่าอาชีพประมง หน้าที่การงานที่สร้างรายได้ค้ำจุนครอบครัวเราได้อย่างยั่งยืน..และพ่อก็เฝ้ารอ..เฝ้ารออยู่ทุกวี่วัน..
สิ่งที่ผมต้องเจอที่นี่มันมากกว่าภาพเมืองหลวงที่พ่อเคยได้ยินได้ฟัง..กระแสแห่งความโกลาหลและการแย่งชิงมันเกิดขึ้นกันซึ่งๆ หน้าไม่เหมือนกับที่พ่อเคยนึกฝัน พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าที่นี่ผมจำต้องเจอะเจอกับสิ่งใดบ้าง พ่อรู้เพียงว่าทุกๆ อย่างที่นี่มันมีความหวัง.. คนส่วนใหญ่พาตัวเองมาที่นี่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..เรื่องราวเช่นนี้จึงเสมือนดั่งภาพที่ตราตรึงในพฤติกรรมความเข้าใจของพ่อเสมอ..