วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น เรื่องของหล่อน



1

หล่อนไม่ควรมองผมเช่นนั้น.. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม.. เราแค่เพื่อนบ้านที่เพิ่งจะได้ทำความรู้จักกัน และผมก็ไม่ใช่คนที่นี่.. ผมพาตัวเองมาอยู่เพียงเพื่อภาระหน้าที่เท่านั้น..

ต้องเป็นเช่นนี้เสมอ เหมือนกับทุกๆ วันที่ผมเดินผ่านรั้วหน้าบ้าน หล่อนจะต้องมองหน้าผมเสมือนมีอะไรบางอย่างในใจ.. ซึ่งผมอยากจะรู้เหมือนกัน.. แต่มันคงไม่ใช่ธุระอะไรมากมายที่ผมควรจะเข้าไปไถ่ถาม..ดวงตาของหล่อนเสมือนมีอะไรบางอย่างข้องใจในตัวผม ผมรู้สึกได้จากการสบตาทั้งสองข้างของหล่อน..

2

ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่.. ความเบื่อหน่ายชีวิตครูโรงเรียนในเมืองใหญ่มันผลักดันให้ผมเลือกที่จะมาสอนในโรงเรียนแถบชนบท ช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ผมอยากมีเวลาอยู่กับความสงบบ้าง เผื่อจิตใจที่มันถูกหมักหมมมาด้วยความสับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ จะได้พบเจอกับความเรียบง่ายและสงบสุขที่นี่ ผมเลยเลือกพาตัวเองมาสอนประจำอยู่ที่หมู่บ้านชาวเล ฝั่งทะเลอันดามันในจังหวัดสตูล ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ดำรงอาชีพชาวประมง มีบางส่วนทำไร่นา หรือเป็นลูกจ้างในฟาร์มกุ้งที่มีอยู่มากมายบนพื้นที่เขตชุมชน อากาศที่นี่สดชื่นไม่เหมือนเมืองใหญ่ที่ผมเคยอาศัย ผืนป่าอุดมสมบูรณ์และแม่น้ำลำคลองที่ใสสะอาด มันช่วยจรรโลงให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
บ้านพักของผม เป็นเรือนหลังไม่ใหญ่มาก เคยเป็นบ้านของน้องชายครูใหญ่กับครอบครัวที่เคยอาศัยมาก่อน แต่ตอนนี้ทั้งครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น บ้านเลยว่างมานาน บวกกับบ้านพักครูในโรงเรียนที่มีครูคนอื่นๆ พักกันอยู่ทุกหลัง ครูใหญ่เลยเสนอให้ผมมาอยู่ที่นี่ก่อน โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า.. เพียงดูแลเรื่องค่าไฟทุกๆ เดือนที่ผมใช้ไป.. เรือนชั้นเดียวพร้อมห้องนอนสองห้อง มีห้องครัวและห้องน้ำบนตลิ่ง ห้องนอนอีกสองห้องและระเบียงยื่นออกไปในลำคลองประมาณเจ็ดถึงแปดเมตรเศษๆ ข้างหลังเป็นกระชังปลาสี่ห้องสำหรับเลี้ยงปลากะพง ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านพักคือผืนป่าโกงกางที่ทอดยาวอยู่ริมฝั่งคลอง ผืนป่าซึ่งอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์น้ำนานาพันธุ์อาศัย เสมือนสถานอนุบาลก่อนออกสู่ทะเลใหญ่.. เรือหัวโทงของชาวประมงที่นี่แล่นผ่านไปผ่านมาทั้งวัน ชาวประมงบ้างวางเบ็ดอยู่ริมฝั่งคลอง หรือไม่ก็ดักปูดักปลาตามลำน้ำที่เป็นตรอกเล็กๆ เข้าไปในป่า..
บ้านพักของผมห่างจากโรงเรียนประมาณสองกิโลเมตร รถมอเตอร์ไซค์คู่กายที่เคยใช้สมัยสอนอยู่ในเมืองเลยถูกนำมาใช้ประจำตำแหน่งต่อที่นี่.. โรงเรียนไม่ใหญ่มาก ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดตั้งแต่อนุบาลถึงประถมหก คงจะราวๆ เจ็ดสิบคน มีครูประจำอยู่หกคนรวมทั้งผม หน้าที่ของครูแต่ละคนจึงต้องเป็นครูประจำชั้นแต่ละห้องที่คอยสอนทุกๆ รายวิชาต่อเด็กนักเรียนในแต่ละชั้น.. ผมสอนชั้นประถมสี่ ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน เป็นผู้ชายเก้าคนส่วนที่เหลือเป็นเด็กผู้หญิง เด็กๆ ที่นี่ค่อนข้างซนพอสมควรแต่ก็มีความเป็นกันเองกับครูคนอื่นๆ เพราะครูส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นคนละแหวกบ้าน หรือบางท่านมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี..
ครูใหญ่พยายามพาผมไปพบบุคคลสำคัญในชุมชนทุกคน โดยเฉพาะโต๊ะอีหม่ามประจำหมู่บ้าน ผู้นำทางศาสนาอิสลามในชุมชน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านที่ดูเป็นมิตรตั้งแต่วันแรกที่ผมได้พบเจอ ส่วนกรรมการโรงเรียนทั้งหมดครูใหญ่ก็ได้นัดหมายให้มาประชุมร่วมกันเพื่อแนะนำให้ผมได้รู้จักมักคุ้นและแถลงเรื่องอื่นๆ ร่วมกัน แต่การนัดประชุมบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ต้องหนักใจบ้างพอสมควรสำหรับครูใหญ่ที่จะให้กรรมการโรงเรียนทุกๆ คนมาพบเจอกันได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะยุ่งอยู่กับภาระหน้าที่ของตัวเองกันเสียหมด บ้างออกเรือหาปลาค้างคืนในทะเลหลายๆ วัน บ้างก็แจวเรือหาปูปลาอยู่ในลำคลองทั้งวันไม่ยอมขึ้นฝั่ง.. แต่ครูใหญ่ก็อดทนเสมอ แกบอกเราต้องเข้าใจด้วยว่า คนที่นี่เขาเป็นเช่นนี้ วิถีชีวิตของเขาที่นี่ผูกพันกับหน้าที่การงาน..
แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องหนักอกหนักใจอะไรมากมายหรอก ผมมาที่นี่แค่ภาระหน้าที่ในการสอน งานของผมก็คงจะมีแค่การสอนให้เด็กๆ มีความรู้ความสามารถแค่นั้น อีกอย่างผมมาอยู่ที่นี่มันก็ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่แค่อยากมาอยู่อย่างเงียบๆ เรียบง่าย หลบหนีสังคมเมืองสักปีสองปี หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที ผมเลยไม่อยากต้องคิดอะไรมากกับเรื่องราวเช่นนั้น...

เรื่องอาหารการกินที่นี่ไม่ค่อยสะดวกเหมือนในเมืองใหญ่สักเท่าไหร่ สำหรับคนหนุ่มอย่างผมที่ไม่ค่อยสันทัดในเรื่องการทำอาหารเอง โชคดีที่ยังพอมีร้านน้ำชาใกล้มัสยิดในตอนเช้าให้ผมได้แวะดื่มกาแฟกับปาต้องโก๋สองสามคู่ก่อนเลยไปโรงเรียนให้ทันเวลาเคารพธงชาติ ส่วนมื้อเที่ยงผมก็ทานร่วมกับครูและนักเรียนในโรงเรียน สองมื้อในภาคกลางวันเลยรอดไป มีแต่มื้อตอนค่ำนั่นแหล่ะที่ผมต้องพยายามหากินเอง บางครั้งก็ต้องขับมอเตอร์ไซค์ประจำตำแหน่งออกมาในเขตเมืองเล็กๆ ใกล้หมู่บ้านหาร้านอาหารอร่อยๆ กิน หากขี้เกียจขับรถออกมาผมก็หาซื้ออาหารสำเร็จรูป หรือพวกปลากระป๋องและข้าวสารตุนไว้.. บางทีก็ได้รับคำเชิญให้ร่วมอาหารจากครูใหญ่บ้าง หรือผู้ใหญ่บ้านบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก.. สรุปว่า ผมก็ไม่ค่อยจะมีปัญหามากมายในเรื่องการกิน..

ในหมู่บ้านช่วงกลางวันส่วนใหญ่จะเห็นแค่เพียงผู้หญิงและเด็กๆ ที่ค่อนข้างจะพลุกพล่าน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่จะออกเรือดักปูหาปลากันในคลองหรือออกทะเลใหญ่ ผมเริ่มจะคุ้นเคยบ้างกับเจ้าของร้านขายของชำ เพราะต้องแวะซื้อของใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ หล่อนเป็นคนอัธยาศัยดี ทักทายผมอยู่เสมอเวลาขับรถผ่านหน้าร้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่ค่อยจะมีเวลานั่งคุยอะไรมากมายกับหล่อนหรอก เพราะเลิกโรงเรียนมาผมก็ต้องรีบกลับไปเตรียมการสอนสำหรับวันต่อไป หากไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ผมก็อยากกลับไปนอนพักผ่อน...

3
ความต่างระหว่างอยู่ที่นี่กับแต่ก่อนที่ผมเคยประจำโรงเรียนในเมืองคืออะไรนะหรือ?.. ใช่.. ผมเคยคิดเปรียบเทียบอยู่บ่อย ที่นี่ผมมีเวลามากขึ้นที่จะครุ่นคิดถึงตัวเอง บรรยากาศที่ห้อมล้อมด้วยความสมดุลของธรรมชาติและความเรียบง่ายในชุมชนมันเอื้อให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าชีวิตที่ดีแต่จะเจอกับความวุ่นวายในเมือง.. ที่นี่ผมไม่ต้องใช้เวลามากมายในการเดินทางไปทำงาน รถไม่ติด อากาศสดชื่น.. ผมมีเวลาเหลือเฟือในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน เพื่อนั่งจิบกาแฟหรืออ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม.. ตกเย็นหลังเลิกงานผมก็มีเวลามากมายที่จะได้พักผ่อนตรงระเบียงหลังบ้าน..
ที่เมืองใหญ่ผมต้องอยู่กับครอบครัว..ใช่แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมมีปัญหากับครอบครัวหรอก.. ผมไม่มีปัญหาอะไรที่อายุปูนนี้แล้วแต่ยังอาศัยอยู่กับครอบครัว.. เพราะมันเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เด็ก สมัยเรียน จนทำงาน ผมอยู่กับครอบครัวมาโดยตลอด.. ทุกอย่างมันสะดวกสบายไปหมด ผมไม่ต้องทำกับข้าวเอง ไม่ต้องกวาดบ้านถูเรือนเอง ไม่ต้องมีปัญหามากมายในเรื่องการใช้จ่ายในครัวเรือน..แต่อย่างหนึ่งที่ต้องเจอมาตลอด ก็คงจะเป็นเสียงบ่น.. เสียงบ่นของแม่.. แม่เป็นคนขี้บ่นมาตลอด.. ใช่ นั่นคือแม่.. แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมเบื่อกับสิ่งนี้ บางครั้งผมแอบอมยิ้มเสมอที่ได้นั่งฟังเสียงแม่บ่น..ส่วนพ่อ.. พ่อผู้จดจ่อแต่กับเรื่องงาน.. พ่อเป็นวิศวกร..ภาระหน้าที่ท่วมหัว ทุกๆ วินาทีของพ่อเสมือนมีไว้ให้งานเสียหมด.. ผมเข้าใจพ่ออยู่.. แม่ก็บอกเสมอว่าพ่อคือเสาหลักของบ้าน เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อต้องต่อสู้เพื่อความอยู่ดีกินดีของครอบครัว..และมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม..ผมมีโอกาสเรียนจนจบและมีงานมีการได้ ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อ.. พี่สาวผม.. สถาปนิกผู้หญิง.. ความภูมิใจของพ่อ.. เธอจบการศึกษามาพร้อมกับความภูมิใจอย่างยิ่งของพ่อผู้วางรากฐานอย่างดีให้.. ทุกวันนี้มีงานทำในบริษัทใหญ่ โก้ หรู มีรถยนต์ส่วนตัว..สมกับ สถาปนิกผู้หญิง.. ความภูมิใจของพ่อ... ส่วนน้องชายผม..อายุย่างเข้าสิบเจ็ด..เด็กแนว บ้าแฟชั่นเกาหลี..เปลี่ยนมือถือเดือนละเครื่อง แฟนสาวเพียบ..หัวแก้วหัวแหวนของแม่ ทำอะไรถูกไปหมด.. พูดถึงเรื่องเพื่อนฝูง..เพื่อนร่วมงาน.. เพื่อนสมัยเรียน..ผมมีเยอะแยะมากมาย ต่างคนต่างก็กระจัดกระจายทั่วอยู่ในเมืองใหญ่ บางคนก็ได้เจอกันเสมอในวันหยุดสุดสัปดาห์ เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่กันทั่วเมืองใหญ่ ยังคงเป็นความสุขเสมอที่ได้หวนคิดถึง.. แต่นั่นก็คงไม่ใช่หนทางที่ผมควรเผชิญอยู่เสมอหรอก คนเราน่าจะเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง ความสุขมากมายในหลายๆ เส้นทางยังคงรอเราเสมอ ผมคิดเห็นเช่นนั้น และวันนี้ผมเลยอยู่ที่นี่..

ที่นี่.. ผมยังไม่รู้ว่าผมจะเผชิญกับสิ่งใดบ้าง แต่เมื่อความตั้งใจของผมมันสูงถึงขนาดนี้ ผมก็จำเป็นต้องอยู่.. อยู่เพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตของตัวเอง ที่เราเองเป็นคนเลือก.. แต่อย่างน้อย ความประทับใจแรกของผมกับที่นี่มันมากพอที่จะทำให้ผมเลือกอยู่ต่อไปได้แน่.. ผมเชื่อเช่นนั้น..


4

บ้านเรือนที่นี่สร้างยกพื้นเหนือริมแม่น้ำกันเป็นส่วนใหญ่ เลียบลำคลองดูทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หลังบ้านเป็นกระชังเลี้ยงปลาวางกระจัดกระจายริมฝั่งคลอง ระหว่างบ้านมีพันธุ์ไม้หลายๆ ชนิดงอกแซมท่าเทียบเรือซึ่งมีเรือหัวโทงจอดเทียบท่าบรรทุกสัมภาระดักจับสัตว์น้ำอยู่เรียงราย..เกือบทุกบ้านมีเรือของตัวเอง มันคือพาหนะหลักที่คนที่นี่จะต้องมีเพื่อการประกอบอาชีพชาวประมง แม้กระทั่งเรือนหลังที่ผมอาศัยอยู่ก็ยังมีเรือจอดเกยตื้นอยู่ สภาพยังดีเยี่ยมพร้อมใช้งาน ครูใหญ่บอกเป็นของน้องชายแก แต่ก่อนเขาเคยออกเรือหาปลามาตลอด แต่เดี๋ยวนี้พาครอบครัวย้ายไปทำมาหากินกันที่อื่น ทั้งเรือและเครื่องมือหาปลาในบ้านเลยเก็บอยู่อย่างนั้นมานาน.. แกเคยบอกให้ผมหาเวลาว่างนำออกมาใช้ดูเสียบ้าง ผมขอให้แกพูดเล่นเถิด.. คนอย่างผมจะไปทำได้ยังไงกัน แม้แต่พายเรือผมก็ไม่เคยลองมาก่อนตั้งแต่เด็กแล้ว..
เรือนของผมอยู่ละแวกบ้านของชาวประมงหลายๆ หลังที่สร้างติดกันเลียบฝั่งคลอง ด้านหน้าเป็นถนนลูกรังแคบๆ ที่เชื่อมต่อบ้านแต่ละหลัง ด้านขวามือเป็นบ้านของลุงเฝน ซึ่งเป็นภารโรงในโรงเรียนที่ผมเข้ามาสอน บ้านของแกเป็นบ้านปูนกึ่งไม้ยื่นออกไปในลำคลองเช่นกัน ภรรยาของลุงเฝนชื่อป้าสาว เป็นลูกจ้างจับกุ้งในฟาร์มห่างจากบ้านไปเกือบกิโล ส่วนลูกชายแกเป็นนักเรียนประจำชั้นที่ผมสอน ผมเข้าไปพูดคุยกับแกบ่อยในตอนค่ำแต่ก็ไม่ทุกวันหรอก บางวันแกกลับมาจากโรงเรียนแล้วก็ลงไปในคลองดักไซปูบ้าง หรือไม่ก็ไปช่วยเมียแกจับกุ้งในฟาร์ม เวลาที่ได้พบแกและสนทนากันบ้างก็เป็นช่วงที่เจอกันในโรงเรียน ส่วนซ้ายมือของบ้านเป็นเรือนไม้กั้นสังกะสีเล็กๆ สร้างเป็นแพยื่นออกไปในลำคลอง ชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ อยู่กับภรรยาและลูกชายอายุประมาณสองขวบ ผมไม่ค่อยที่จะได้เจอผู้เป็นสามีสักเท่าไหร่ เพราะเขาต้องออกเรือไปในทะเลกับเพื่อนๆ อยู่เสมอ กลับเข้ามาบ้านบ้างแต่ละครั้งก็อยู่ไม่นาน หลังขนปูปลาขึ้นฝั่งให้ภรรยานำไปขาย ก็กลับลงไปในทะเลต่อ พวกเขาเตรียมเสบียงและสัมภาระกันไปมากมาย เพราะบางครั้งต้องนอนค้างคืนกลางทะเลทีละหลายๆ วัน...ฝ่ายภรรยาอยู่กับบ้านเลี้ยงลูกน้อย ทุกๆ วันจะต้องเห็นหล่อนนั่งซ่อมอวนให้กับสามีอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ใต้ต้นมะขามที่แตกกิ่งก้านสูงโตให้ร่มเงาครอบคลุมบ้านทั้งหลัง.. หล่อนเป็นญาติกับลุงเฝนซึ่งเป็นคนพื้นเพอยู่ที่นี่ สามีของหล่อนเป็นคนจากที่อื่น เข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน เป็นลูกจ้างตัดไม้โกงกางส่งเตาเผาถ่านของเถ้าแก่ในเมือง มาคบหาสมาคมกับหล่อนจนได้แต่งงานครองเรือนร่วมกันมาจนมีลูกได้สองขวบ สามีของหล่อนเป็นคนขยันและไม่ค่อยพูดค่อยจาสักเท่าไหร่ เราได้พบเจอกันบ้างในบางครั้งก็วันศุกร์ซึ่งผู้ชายในหมู่บ้านทั้งหมดจะต้องหยุดออกทะเล เพราะต้องไปละหมาดพร้อมกันที่มัสยิด กลับจากโรงเรียนในตอนเย็นผมเลยได้เห็นหน้าค่าตากับเขาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทักทายหรือพูดคุยกันสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็ไม่เคยที่จะหยุดนิ่งเสียทีเดียว ไม่นั่งเย็บอวนอยู่กับภรรยาก็จะเห็นพายเรือเรื่อยๆ เอื่อยๆ ออกไปเลียบลำคลองหาปูหาปลาตามประสา..
...

ส่วนผู้เป็นภรรยา จากการได้พูดคุยไถ่ถามกับลุงเฝนหลายๆ ครั้งทำให้ผมรู้ว่าหล่อนชื่อฟารีดา อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสอง ตามที่ผมสามารถคาดคะเนได้ ยังดูเป็นเด็กสาวมาก ไม่น่าจะมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างนี้ หล่อนน่าจะออกไปทำงานในเมืองหรือเรียนให้สูงๆ รับงานเป็นข้าราชการหรือทำงานอย่างอื่นที่เหมาะสมเสียดีกว่า หน้าตาของหล่อนดูดีทีเดียว แม้ผิวจะหมองคล้ำไปเสียบ้างคงด้วยหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่ทุกวี่วัน..แต่หล่อนเป็นคนขยันเอาการเอางาน ทุกๆ วันไม่เคยเห็นหล่อนพักเสียบ้างเลย ก่อนออกจากบ้านแต่เช้าตื่นขึ้นมาผมก็เห็นหล่อนกวาดบ้านถูเรือนอยู่แล้ว กลับมาตอนเย็นก็นั่งเย็บอวนหรือปอกฝักมะขามที่หล่นเกลื่อนพื้นหน้าบ้านส่งขายตามร้านค้าอยู่ทุกวี่วัน...คงเป็นเรื่องที่เหนื่อยพอสมควรสำหรับหล่อนที่จำต้องรับหน้าที่มากมายในบ้านตั้งแต่งานแม่บ้าน เลี้ยงลูก แถมยังต้องช่วยงานสามีอีก
ลุงเฝนเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของหล่อน ซึ่งเป็นเด็กสาวที่ลุงแกรับเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุสิบขวบ พ่อกับแม่ของหล่อนเคยทำงานอยู่แพปลากับเถ้าแก่แถวท่าเรือปากบารา แต่น่าเศร้านักเมื่อทั้งสองเสียชีวิตพร้อมกันขณะขับมอเตอร์ไซกลับมาบ้านและเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง.. ลุงแกเลยรับหล่อนเข้ามาเลี้ยงดูต่อที่บ้าน แต่ด้วยฐานะของลุงเฝนกับป้าสาวก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในย่านนี้ หล่อนเลยไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือต่อเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ชีวิตของหล่อนจึงต้องผูกพันมาโดยตลอดกับการต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานในบ้านของลุงเฝนและป้าสาว ในขณะที่ทั้งสองออกไปทำงานนอกบ้าน จนเมื่อเลาะหรือสามีของหล่อนซึ่งเป็นคนต่างถิ่นเข้ามาทำงานแถวบ้าน เกิดรักใคร่ชอบคอกัน ลุงเฝนก็เห็นว่าเลาะเป็นคนดีและขยันทำมาหากิน แกเลยให้นิกะห์อยู่กินกันจนปัจจุบัน..
ดวงตาของฟารีดาดูเศร้าหมองอยู่เสมอ ลุงเฝนบอกหล่อนเป็นคนอมทุกข์ ทุกคนในหมู่บ้านได้แต่เห็นใจ ไม่รู้จะช่วยหล่อนให้มากกว่านี้ได้อีกยังไงให้ดูเหมือนคนปกติขึ้น ดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้มีเลาะเข้ามาอยู่ด้วย เลยได้ช่วยกันทำมาหากิน.. แต่ทั้งคู่ก็ยังคงต้องลำบากอยู่บ้างหรอก เพราะเลาะเองก็ไม่ได้เลอเลิศหรือร่ำรวยมาแต่ไหน มาอยู่ถิ่นนี้ก็เพราะหน้าที่การงานที่ต้องมารับจ้างตัดไม้โกงกางส่งเตาเผา อยู่บ้านตัวเองก็เห็นว่าครอบครัวที่โน่นก็ยังต้องเช่าที่ทางทำกินเช่นกัน มาหลงรักฟารีดาเข้าก็ไม่มีทรัพย์สินมาสู่ขอ ทั้งลุงเฝนและญาติฝ่ายฟารีดาเห็นใจก็เรียกผู้ใหญ่มาหารือกันก็นิกะห์ให้กันโดยไม่ต้องมีสินสอดอะไรมากมาย แค่ขอให้ทั้งสองได้อยู่กินครองเรือน ช่วยกันทำมาหากินกันไป..ดีที่ทั้งคู่เป็นคนขยัน จึงช่วยกันทำมาหากินเก็บเงินยกเรือนหลังเล็กๆ อยู่ริมชายฝั่ง มีเรือมีเครื่องมือหาเลี้ยงชีพไม่อดตาย..
เรื่องของหล่อนถูกเล่าผ่านลุงเฝนมาประมาณนี้..


5

มาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ผมเริ่มสนิทสนมกับเพื่อนบ้านหลายๆ คนทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะลูกศิษย์ของตัวเองที่อยู่ใกล้บ้าน ผมได้รับคำเชิญจากเพื่อนบ้าน บ้างผู้ปกครองของเด็กๆ ให้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอยู่บ่อย บางครั้งก็มีโอกาสลงเรือไปกับชาวบ้านนั่งเล่นดูบรรยากาศริมแม่น้ำซึ่งหนาไปด้วยผืนป่าโกงกางและพืชพันธุ์ สัตว์น้ำนานาชนิด ผมหลงใหลในโลกเช่นนี้เหลือเกิน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่นี่มันส่งผลก่อให้เหล่าสัตว์น้ำน้อยใหญ่ชุกชุม ให้ชาวประมงหากินได้ตลอดทั้งปี บางช่วงที่เป็นช่วงน้ำใหญ่ หรือเมื่อตอนน้ำขึ้นสูง ชาวบ้านที่นี่ก็ต่างวางไซดักปูดำตัวใหญ่ๆ ถึงช่วงหน้าร้อนก็เก็บสาหร่ายทะเลซึ่งขึ้นอยู่ในอวนของกระชังปลาหรือไม่ก็เข้าป่าหาน้ำผึ้งและสมุนไพร บนชายหาดอีกฝั่งของหมู่บ้านก็เป็นที่เก็บหอยหรือดักกัดปลา.. อาชีพของคนที่นี่มีให้ทำมาหากินอยู่ทุกฤดูกาล พวกเขาทำมาหากินเพียงเพื่อการดำรงอยู่ มีบ้างที่ดักจับสัตว์น้ำ หรือพืชพันธุ์สมุนไพรมาเพื่อส่งขายในตลาด แต่ก็เป็นเพียงการทำธุรกิจขนาดย่อมเพื่อแลกกับเงินตราบางส่วนมาหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น วิถีชีวิตของคนที่นี่ผูกพันอยู่กับครอบครัว การทำมาหากิน และการดำรงชีวิตตามครรลองแห่งศาสนา หนทางชีวิตแห่งศาสดาที่จัดเจนจนเป็นแนวทางของการดำรงชีวิตอย่างสันติ..

ความหลงใหลในชุมชนที่นี่ทำให้ผมเลิกล้มความคิดที่เคยนึกอยากอยู่เพียงปี สองปี ผมกลับบ้านหลายรอบเพื่อขนข้าวของเครื่องใช้ในเมืองใหญ่นำมาอำนวยความสะดวกที่นี่ ทั้งทีวีสีจอยี่สิบสี่นิ้ว เครื่องเสียงโฮมเทียเตอร์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และอื่นๆ เล็กๆ น้อยอีกสารพัดอย่าง ชีวิตผมที่นี่จึงสะดวกยิ่งขึ้นกว่าช่วงแรกๆ ที่เข้ามาอยู่.. ทีวีทำให้ผมได้ติดตามข่าวสารเท่าทันขึ้น อีกทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน อย่างเช่นช่วงแรกๆ ที่เคยต้องซักผ้ากับมือจนต้องเสียเวล่ำเวลาในการได้พักผ่อน ขณะนี้ผมมีเครื่องซักผ้าเข้ามาผ่อนแรงและเพิ่มเวลาให้ทำโน่นทำนี่อีกตั้งเยอะ..ผมจะได้มีเวลาหาความสงบและรื่นรมย์กับธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่างเต็มที่เสียที..
การได้รู้จักกับหลานของลุงเฝนอีกคนหนึ่ง ชื่อดารุสเสมือนทำให้กรอบการเป็นอยู่ของผมที่นี่ดูกว้างขึ้น ดารุสเป็นหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ด ไม่เคยได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่นๆ โตมากับการต้องออกเรือหาปลากับพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ฝีมือการบังคับเรือของดารุสถือว่าเก่งกาจกว่าเพื่อนคนหนุ่มคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เขาชอบออกเรือหาปลากับเพื่อนฝูงในที่ไกลๆ ทีละหลายๆ วัน แม้คลื่นลมที่นั่นจะแรง หรือบางครั้งจะเป็นหน้ามรสุม แต่ด้วยมือของดารุสแล้ว ใครๆ ต่างก็ต้องชื่นชม.. ดารุสและเพื่อนได้ปู ปลา กลับมาบ้านทีละมากๆ เหลือจากการแจกจ่ายให้กับชาวบ้านคนอื่นๆ แลกกับค่าน้ำมันเรือ ดารุสก็จะให้แม่นำไปขายในตลาด..
ผมมีโอกาสได้คุยกับดารุสบ้างก็เมื่อเขานำปลามาให้ที่บ้าน แต่ผมไม่ได้รับไว้หรอก เพราะจะให้เอามาทำกินอย่างไรผมยังไม่รู้เลย แต่ก็รับคำเชิญที่จะไปร่วมทานที่บ้าน.. ดารุสชอบถามผมถึงเรื่องในเมือง เรื่องของการเป็นอยู่ และอีกหลายๆ เรื่องที่เขาเคยสงสัยเกี่ยวกับคนเมือง.. บางครั้งผมก็ไถ่ถามเขาถึงชีวิตกลางผืนทะเลใหญ่ เขาเล่าได้น่าตื่นเต้นทีเดียว ความผันแปรของกระแสน้ำ ความรวมเรของเกรียวคลื่น ฟ้า ฝน และความทรหดของวิถี ประมง เหล่านี้ทำให้ผมนึกภาพตามได้ชัดเจนเสมือนนั่งฟังเรื่องเล่าจากวิทยุอย่างไรอย่างนั้น..
ดารุสเป็นคนที่พูดเก่ง หน้าตากรำแดดแฝงให้เห็นถึงคนที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ของการท้าทาย เขาชอบที่จะเล่า และบางครั้งชักชวนผมให้ไปด้วย.. ผมเคยสัญญาอยู่หรอกแต่หน้าที่การงานมันรัดตัวพอสมควร ได้แต่สัญญาลอยๆ ไว้ว่าช่วงปิดเทอมใหญ่ หากไม่ตรงกับหน้ามรสุมก็จะลองไปดู..
นอกจากดารุสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม หรือคนในวัยใดๆ ก็ตามที่เป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่แล้วก็จะต้องออกทะเลหาปลา ถึงช่วงหน้าน้ำแต่ละครั้ง ก็จะได้เวลาของการเตรียมสัมภาระ แบกหามลงเรือตอนหัวรุ่งมุ่งสู่ทะเลใหญ่.. ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเขาจะออกกันไปกี่วัน และจะไปพักที่ส่วนไหนของทะเล เมื่อถามไถ่ดูบ้างถึงเวลาที่จะย้อนกลับเข้าฝั่ง ประโยคเดียวที่เป็นคำตอบเหมือนๆ กันคือจนกว่าน้ำจะหมด..
เมื่อถึงช่วงเวลานั้นแล้ว นั่นแหล่ะคือช่วงเวลาที่ใครๆ ต่างก็ยิ้มออก ลูกซึ่งต้องรอคอยที่จะขี่หลังพ่อ.. หรือภรรยาที่เฝ้ารอการกลับมาของสามีก็จะได้พบเจอกันอีกครั้ง แถมยังมีปูปลามากมายให้กินกันไปหลายๆ วัน หรือที่เหลือบ้างก็แลกค่าน้ำมันกันไปตามอัตภาพ..






6

อากาศร้อนจัดกลางทะเลในหน้าน้ำวันหนึ่งทำให้เลาะล้มป่วยลงกะทันหัน.. หลังจากเรือออกจากฝั่งได้แค่สองวัน เพื่อนๆ ซึ่งร่วมทีมเรือลำเดียวกันจึงต้องวกกลับเข้าฝั่งเพื่อนำเลาะกลับเข้าพักฟื้นที่บ้าน.. อาการป่วยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นในระยะแรกๆ ดีแต่จะทรุดลงเรื่อยๆ แบบฉบับของผู้ซึ่งใช้แรงงานหนักมาตลอดไม่ค่อยมีโรคภัยเบียดเบียน หากแต่เมื่อถึงคราที่ต้องล้มป่วยลงแล้วบวกกับความอ่อนล้าที่มีอยู่ด้วยเป็นทุนเดิม จึงต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักระยะหนึ่ง..เพื่อนๆ ละแหวกบ้านทั้งๆ สหายที่ออกเรือด้วยกันต่างสลับสับเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยือนถือของฝากติดไม้ติดมือกันมาเยี่ยมป่วย.. ฝ่ายฟารีดาจึงมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นกว่าวันก่อนๆ บางวันต้องออกจากบ้านไปกับป้าสาวที่ฟาร์มจับกุ้งเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ายาให้กับสามี.. หล่อนดูโทรมลงกว่าเดิมที่ผมเคยเห็น หน้าตาหมองคล้ำจนขอบล่างของเปลือกตาเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเขียวดั่งคนอดหลับอดนอน ผิวพรรณดูไม่มีชีวิตชีวา ดวงตาก็ดูจะไม่ค่อยสดใสเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ คนอื่นๆ.. การออกไปจับกุ้งที่ฟาร์มหรือบ่อกุ้งนั้น คนจับจะต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสามยามรุ่ง เพราะรถยนต์ของเจ้าของฟาร์มจะมารอรับอยู่ที่ร้านขายของชำกลางหมู่บ้าน เจ้าของฟาร์มกำหนดให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน เพราะต้องให้ทันรถโรงงานซึ่งจะมารอรับซื้อกุ้งในตอนบ่าย..

ภาระที่ต้องรับผิดชอบสำหรับหล่อนในขณะนี้คงมากยิ่งขึ้นกว่าเก่าที่เคยทำอยู่ ผมสังเกตได้จากสีหน้าและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงตาของหล่อน.. หล่อนมองผมแปลกๆ ไม่เหมือนระยะแรกๆ ที่เคยสบตากัน แต่ผมก็พอรู้อยู่หรอกว่ามันอาจเกิดจากความเหนื่อยหน่ายที่เกิดขึ้นจากการตรากตรำทำงานทั้งวัน หล่อนคงเหนื่อย คงเมื่อยหล้า และคงไม่อยากให้ใครเข้ามาซักถาม หรือทักทายใดๆ ทั้งสิ้น หรือบางทีอาจจะด้วยความมีโลกส่วนตัวมากเกินไปจนไม่อยากต้อนรับใครเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิตเลย ผมเคยเจอคนเช่นนี้บ่อย เพื่อนบ้านในเมืองส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ตื่นเช้าขึ้นมาแม้เจอหน้าก็ไม่ได้อยากจะทักทายกันเสียเท่าไหร่ เพื่อนๆ ที่ทำงานเก่าก็ล้วนเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองจนไม่อยากเสียเวล่ำเวลามาคุยทักทายกันสักเท่าไหร่ มันอาจกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับมนุษย์..
แต่ผมก็ย่อมไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้วกับเรื่องราวเช่นนี้ ผมเจอมาบ่อย อย่างน้อยผมก็พอมีลุงเฝน ป้าสาว และดารุสอยู่บ้างให้ได้คุยเล่นเป็นเพื่อน..



7

ข้อตกลงระหว่างผมกับดารุสถือเป็นบทสรุปของการเริ่มทำธุรกิจขนาดย่อมร่วมกัน เงินเก็บบางส่วนบวกกับการได้รับความช่วยเหลือจากทางบ้านอีกครึ่งทำให้ผมสามารถถอยรถกระบะคันงามจากห้างโชว์รูมในเมืองมาครอบครองได้โดยง่าย ดารุสและเพื่อนอีกแปดคนจะเป็นฝ่ายพาเรือออกทะเลใหญ่ เพื่อลากอวนหาปลา ส่วนผมจะขออนุญาติลาครูใหญ่ออกมาในตอนเที่ยงของวันเพื่อนำปลาที่ได้นั้นส่งไปขายในโรงงานขนส่งอาหารทะเลใกล้ท่าเทียบเรือประมงปากบารา ปลาที่ได้ทั้งหมดจะถูกนำส่งโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางที่จะมารับซื้อที่นี่ด้วยราคาที่ค่อนข้างจะไม่ยุติธรรม ข้อตกลงของเราคือการที่ผมออกรถขนส่ง และเงินทุนบางส่วนเพื่อซื้ออวนขนาดใหญ่ ลังบรรจุน้ำแข็ง และน้ำมันเรือในแต่ละครั้งที่ดารุสและเพื่อนต้องออกทะเล.. ธุรกิจดำเนินไปอย่างเรียบง่าย คนแปดคนกับเรือสามลำได้ปลามาเยอะแยะมากมาย จนบางครั้งเหลือจนเราได้แจกจ่ายให้เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ดารุสและเพื่อนได้ส่วนแบ่งเป็นเงินบางส่วนให้ทุกคนได้เก็บไว้เป็นต้นทุนของครอบครัว ส่วนตัวผมเองไม่ได้คาดหวังถึงผลกำไรอะไรมากมายโดยแท้จริงหรอก ผมแค่ถูกใจและอยากช่วยเหลือคนอย่างดารุส และตัวผมเองก็จะได้มีบทบาทบางส่วนกับการทำมาหากินของคนที่นี่อยู่บ้าง.. พ่อรู้สึกดีกับข่าวคราวของผมในขณะนี้ แกไม่ได้อยากให้ผมดำรงอาชีพครูเสียเท่าไหร่ แกอยากให้ผมกลับบ้านทำงานกับแกเสียมากกว่า แต่ให้ทำอย่างไรได้ ทางของผมมันเริ่มราบรื่นและสะดวกเสียยิ่งกว่าทางอื่นๆ ที่ผมเคยได้ลองใช้ชีวิตมาก่อนเสียอีก..
เมื่อทุกๆ อย่างเริ่มไปได้สวยและเข้าที่เข้าทาง กำไรส่วนหนึ่งที่ได้รับถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นกระชังปลาเจ็ดห้องซึ่งดารุสแนะนำให้ผมเลี้ยงปลากะพงเพิ่ม เพราะบางช่วงเมื่อถึงหน้ามรสุม ก็ไม่สามารถออกทะเลได้ อย่างน้อยเราก็ยังมีงานมีการอยู่หลังบ้าน ดารุสและเพื่อนจึงรับดูแลกันไปคนละห้อง เราลงพันธุ์ปลาห้องละสามร้อยตัว ทุกๆ วันดารุสจะเป็นคนไปรับซื้อปลาทรายตัวเล็กๆ ซึ่งติดอวนใหญ่ชาวประมงจ้าวอื่นๆ มาสับเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นอาหารในกระชัง ถึงช่วงหน้าร้อนปลายเดือนกุมภาพันธุ์ เราก็ยังสามารถเก็บสาหร่ายส่งขายตามท้องตลาดได้อีก..
วันเวลาผ่านไปเป็นเดือน และปี.. ผมเพิ่มพูนรายได้ขึ้นมากมายซึ่งสามารถเก็บเป็นต้นทุนส่วนตัวไว้ใช้ในยามจำเป็น ทั้งดารุสและเพื่อนก็ต่างมีเงินใช้ ซ่อมแซมเรือ ปลูกสร้างบ้านเรือน ทั้งยังมีเหลือเก็บอีกเป็นบางส่วน..

พ่อและแม่ประทับใจในตัวผมมากขึ้น ช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ท่านทั้งสองจะได้แวะมาเยี่ยมผมที่บ้าน ของฝากมากมายรวมทั้งข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานธุรกิจต่างทยอยมาหาอย่างไม่หยุดหย่อน ท่านทั้งสองยินดีที่จะให้เงินทุนกับผมอีกหากจำเป็น ทั้งสองยินดีที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในทุกๆ เรื่อง.. ผมเองก็รู้สึกดีเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้น..

9

หากไม่อยู่ที่โรงเรียนในช่วงกลางวัน หรือนั่งพูดคุยหารือกับดารุสและสหายผู้ร่วมงานคนอื่นๆ แล้ว ผมก็จะพาตัวเองมาเอนหลังอ่านหนังสือหรือชื่นชมบรรยากาศอันอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าโกงกางบวกกับลำน้ำอันสงบและเยือกเย็นหลังบ้าน จากตรงนี้ผมสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายของระบบนิเวศน์ที่พึ่งพาอาศัยกันอย่างสงบได้อย่างลึกซึ้ง การได้รู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์และการพึ่งพาอาศัยกันและกันของเหล่าพืชพันธุ์ สัตว์น้ำ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ช่วยจรรโลงใจผมให้เคารพต่ออำนาจความเป็นไปของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากการเคลื่อนไหวอย่างสงบของอำนาจเหล่านั้น..กระแสน้ำขึ้นน้ำลงที่นี่มีผลอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของสรรพสิ่งทั้งหมดรวมทั้งมนุษย์ ทุกๆ อย่างเสมือนอยู่ร่วมกันได้ด้วยการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในลำคลองและในป่าโกงกาง ต่างก็จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผืนป่าเพื่อเป็นที่อาศัย และการวางไข่อีกทั้งการอนุบาลตัวอ่อน..ต้นพังกา ตะบูน หรือหญ้าทะเลที่ขึ้นสลับซับซ้อนตรงตลิ่งก็เช่นเดียวกัน แม้รากของมันจะดูเก้งก้างไม่เป็นระเบียบ แต่นั่นแหล่ะคือตัวกรองอย่างดีที่จะทำหน้าที่กรองเศษไม้ใบไม้ไว้ให้เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์น้ำ และนั่นแหล่ะคือกันชนอย่างมั่นคงที่ผืนดินพึงมี..ทุกๆ อย่างที่นี่มีผลเกื้อกูลกันหมด..
เช่นเดียวกันกับการเป็นอยู่ของคนที่นี่ การคบหาสมาคมกันเยี่ยงครอบครัวเดียวกันเสมือนเป็นรากฐานอันชัดเจนที่มีผลต่อความสงบสุข เมื่อการไปมาหาสู่ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันคือกิจวัตรของความเป็นไปของคนที่นี่ ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชนจึงกลายเป็นความสงบสุขที่ต่างก็รักใคร่ปรองดองกัน.. อำนาจแห่งความเยือกเย็นและสุขุมของการเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายของธรรมชาติและการดำรงชีวิตตามแนวทางของศาสนาที่นี่มีผลอย่างยิ่งต่อการสรรค์สร้างความสงบสุขและอยู่ดีกินดีของคนที่นี่.. ผมทึ่งกับความเป็นไปเช่นนี้จริงๆ..

ผมไม่รู้หรอกว่าดารุสและคนอื่นๆ จะรู้สึกดีแค่ไหน ที่ผมมีส่วนเข้ามาทำให้การเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น อีกทั้งต่างก็ได้มีเงินมีทองเก็บกันถ้วนหน้า.. ผมรู้สึกดีทีเดียวที่ตัวเองได้ทำคุณประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อชุมชนและการได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับทางบ้าน..

นอกเหนือจากการชื่นชมธรรมชาติตรงหลังบ้านและการได้นึกคิดถึงความเป็นไปของตัวเองแล้ว มันอดไม่ได้ที่ผมต้องสังเกตไปยังเรือนสังกะสีเล็กๆซึ่งถัดไปจากบ้านของตัวเอง.. หลายวันแล้วที่ผมไม่ได้นึกถึงฟารีดาและครอบครัว.. พวกเขาดูนิ่งๆ อยู่เสมออย่างที่เป็นมา.. เลาะหายป่วยแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับดารุสและผม ด้วยเหตุผลประการใดหรือความคิดเห็นเช่นไรผมก็ไม่ได้รู้เสียอย่างละเอียด แค่บอกดารุสถึงความตั้งใจที่จะไม่ขอออกทะเลอีก แต่จะใช้เรือเล็กหาปลาหาปูในลำคลองใกล้ๆ บ้าน เพราะคงเห็นใจฟารีดาและลูกที่ต้องอยู่บ้านลำพัง ทั้งดารุสและผมจึงไม่อยากที่จะเคี่ยวเข็ญอะไรมากมาย..

ฟารีดาดูเงียบๆ ซึมๆ กว่าเก่าที่เคยเป็น สายตาของหล่อนมองผมแปลกๆ ทุกๆ ครั้งที่ต้องสบตากัน จากแต่ก่อนที่เคยเห็นรอยยิ้มมุมปากของหล่อนอยู่บ้างเมื่อต้องพบเจอกันที่บ้านลุงเฝนหรือเมื่อผมเดินผ่านหน้าบ้าน.. แต่เดี๋ยวนี้ซิ หล่อนมองผมแปลกๆ..

หลังจากเลาะหายป่วยทุกอย่างในบ้านของหล่อนคงเริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้น ก่อนหน้านี้อาจเป็นเรื่องทรหดพอสมควรที่เมื่อเสาหลักของบ้านต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ผู้เป็นแม่บ้านก็จำต้องรับภาระขึ้นเป็นสองเท่า.. ดีอยู่ที่บางวันได้ฝากลูกน้อยไว้กับป้าสาวให้ฟารีดาจะได้มีเวลาเต็มที่ ที่จะไปทำโน่นทำนี่แลกกับข้าวกับปลา อาหารประทังครอบครัว หากช่วยลุงเฝนเก็บปลาเก็บปูในเรือแล้ว หล่อนก็จะได้เงินเหลือบางส่วนซื้อยารักษาสามี..ถึงตอนนี้แล้วคงไม่น่าจะเป็นห่วงมากมาย เพราะเมื่อเลาะปกติดีแล้วก็เหมือนมีแรงงานหลักกลับมา ฟารีดาจากที่เคยวุ่นอยู่ทุกวี่วัน ก็กลับมารับผิดชอบงานง่ายๆ เหมือนเดิมที่เคยเป็นอยู่..

หล่อนดูกรำแดดไปกว่าเดิมที่เคยพบเจอ หน้าตายิ่งดูยิ่งเหมือนจะแก่กว่าวัยที่เป็นอยู่ ใบหน้าหมองคล้ำ ทั้งร่างกายก็ดูซูบผอมไปกว่าเดิม.. แต่ก่อนหน้าตาอิ่มเอิบกว่านี้เยอะ.. ผิวหน้ามีน้ำมีนวลบวกกับแววตาที่สดใสของสาวแรกรุ่น ความน่าสนใจในตัวเธอเหมือนเริ่มที่จะลบเลือนไปก่อนวัยที่จะเป็น... สาบานได้เลยว่าครั้งแรกที่เจอ หล่อนมีหน้าตาชวนชมกว่านี้ ใบหน้าที่สวยใสไร้ริ้วรอยชวนให้ผมต้องจับจ้องมองหล่อนอยู่เสมอ.. และสาบานได้อีกว่าผมเคยแอบหลงชอบหล่อนอยู่ด้วยในใจลึกๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่หรอกว่าหล่อนมีเลาะอยู่แล้ว.. แต่ใครจะไปบังคับจิตใจตัวเองไหวล่ะ

ฟารีดาน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ทั้งวัยและหน้าตาของหล่อนไม่ควรสูญหายไปกับความลำบากเช่นนี้ ผมนึกเห็นใจหล่อนอยู่เสมอ แต่ก็ได้แค่เห็นใจอยู่หรอก ผมก็ไม่รู้เลยเหมือนกันว่า คนนอกที่เข้ามาเป็นเพื่อนบ้านของหล่อนและครอบครัวนั้นจะมีพื้นที่มากน้อยแค่ไหนที่จะเข้าไปทักทายหรือหยิบยื่นไมตรีจิตให้กันและกันได้..





10

การงานของผมที่นี่ดำเนินไปอย่างดี อาชีพครูในชนบทมันสุขใจเสียเหลือเกิน กับการได้ใกล้ชิดกับเด็กในชั้นเรียนและผู้ปกครองของพวกเขา ผมสนิทสนมเป็นอย่างดีกับชาวบ้านเกือบทั้งหมดในชุมชนแห่งนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วต่างก็เริ่มเข้ามาร่วมงานกับผม โดยผู้ชายไม่เข้ามาร่วมออกทะเลกับดารุส ก็จะออกเรือหาปลา หาปูเอง ได้วันละเท่าไหร่ก็จะนำมาส่งให้กับผมเพื่อนำส่งแพปลาที่ปากบารา.. ส่วนผู้หญิงบางส่วนก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแกะปลาจากร่างแหร่างอวนที่พวกผู้ชายนำกลับมาจากทะเล ความสนิทสนมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันโดยการร่วมงานร่วมการกันอย่างแข็งขัน แม้แต่ครูใหญ่ก็ด้วย เรายังมีแผนงานร่วมกันอีกมากมายที่จะพัฒนาธุรกิจตรงนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป..
เว้นแต่เลาะและฟารีดาที่ยังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเราเสียสักเท่าไหร่ ผมไม่เคยรู้หรอกว่าด้วยสาเหตุเช่นใด.. แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมน่าจะมีความกล้ามากกว่านี้ที่จะพาตัวเองเข้าไปพูดคุยกับหล่อน.. จนป่านนี้แล้ว ผมก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหล่อน ไม่นึกเลยว่าแม้เราจะอาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน แต่ไม่สามารถสนทนาไต่ถามกันได้.. เคยอยู่หลายครั้งเหมือนกันหรอกที่ผมพยายามรวบรวมความกล้าของตัวเองเพื่อจะได้เข้าไปไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันบ้าง แต่ทุกครั้งเมื่อสบสายตาหล่อนแล้ว ความกล้าของผมก็ต้องสูญหายอยู่เสมอ แม้ในขณะที่เลาะล้มป่วยนอนพักอยู่กับบ้าน ผมก็ยังไม่อาจย่ำกรายเข้าเยือนเรือนหลังนั้นเพื่อเยี่ยมป่วยเพื่อนบ้านได้เลย บางอย่างมันทำให้ผมกลัดกลุ้มเสียเหลือเกินกับความจริงที่เกิดขึ้น..

ผมเห็นใจเหลือเกินกับความเป็นไปของฟารีดาและครอบครัว..หล่อนน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เราน่าจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างเช่นเพื่อนบ้านในชนบททั่วไป.. บางอย่างมันอาจทำให้ดูอึดอัดเสียจนเกินไป..ผมยังเฝ้ารออยู่หรอกที่จะให้ถึงวันเวลานั้น ช่วงเวลาที่เราจะคุยกันเสมือนญาติมิตร วันที่ฟารีดาจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ และพูดคุยกับผม..แต่คงสายเกินไปเสียแล้ว ช่วงปิดเทอมใหญ่ซึ่งผมเดินทางกลับเยี่ยมเยียนครอบครัวนั้น ลุงเฝนบอกเลาะขายเรือและเครื่องมือประมงให้กับคนอื่น ก่อนพาตัวเองและครอบครัวย้ายเข้าไปทำงานรับจ้างในเมือง.. หลายๆ สิ่ง หลายอย่างคงเปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของฟารีดาและครอบครัว บางอย่างมันยังก่อตัวเป็นความเห็นอกเห็นใจลึกๆ ในทรวงอกของผม..แต่กระนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม..
.....................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น