วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คลองโต๊ะเหลม







ลำน้ำเย็น ไหลนิ่ง สีมรกต
สายเคี้ยวคด รกหนา ป่าโกงกาง
ที่ริมฝั่ง หญ้าทะเล แทรกบางบาง
ปูอวดก้าม ปลาแหวกว่าย สายธารา

ฟองน้ำขาว วาววับ จับดวงตา
ลำนาวา เกลียวคลื่น ซัดชายฝั่ง
พังกาน้อย แตกกิ่งก้าน ใบสะพรั่ง
ยึดชายฝั่ง เพาะพลัง คลังชีวา

เรือหัวโทง คนแจว เลียบแนวไพร
สุขฤทัย เพลินไพร ใจหวงแหน
เคารพป่า รักษ์น้ำ ไม่ขาดแคลน
ธำรงแก่น สรรพสิ่ง ให้สมดุล

เขตน้ำขึ้น น้ำลง ตรงชายฝั่ง
พันธุ์ไม้แสม ซีหงำ ตะบูนดำ
รากยึดดิน กรองเศษไม้ กันตลิ่งพัง
เสมือนดั่ง กำแพง ป้องผืนดิน

เขตดินดอน เลนปน เนื้อดินทราย
พืชพันธุ์หลาย เกื้อกูล บำรุงผล
พันธุ์ไม้บก งอกงาม เอื้อชุมชน
สร้างสายใย พืชผล คน – น้ำ – ป่า

คนเคารพ คุณน้ำ คุณผืนป่า
วิถีพึ่งพา ป่าอยู่ คนสุขี
ป่าเอื้อคน เอื้อสิงสา เอื้อวารี
เอื้อชีวี คงวิถี นิเวศน์ธรรม

อินทรา
ภาพถ่ายโดย เมย์,กะทิิิ

วันเวลาหมุนวน

หากจะเห็นสายรุ้งที่ทอดโค้งงดงามเหนือขอบฟ้าสว่างไสว..จำต้องอดทน..เรากำหนดธรรมชาติไม่ได้



ความเหมาะสมเท่านั้นคือสัจธรรมของการก้าวเดินแห่งวิถีนิเวศน์ธรรม..



เมื่อแดดจ้าจนผืนแผ่นดินเหือดแห้ง...ไอน้ำจากทุกอณูอากาศจักรวมตัวกันจนคลุ้มคลั่งหลั่งเป็นสายฝนโปรยปรายความชุ่มฉ่ำ แด่สรรพชีวิต..



โลกถูกสร้างมาแค่นี้..แค่การเคลื่อนไหวตามครรลอง



เมื่อทุกอย่างสมดุล สัจธรรมแห่งการเคลื่อนไหวก็จักดำเนินอย่างสุขุม..



หากวงจรที่สมดุลถูกทำลายโดยความขัดแย้งอย่างเกินเหตุ..สัจธรรมแห่งการเคลื่อนไหวก็จักดำเนินอย่างที่มันควรจะเป็น..



โลกและชีวิตหมุนวนอยู่แค่นั้น.. แค่การเคลื่อนไหวตามครรลอง..



อินทรธนู..ิ

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น ท้องฟ้าและชีวิต


ผมเคยเล่าให้พ่อฟังว่า วันหนึ่ง.. หลังฝนหยุดตกได้ไม่นาน ผมเห็นแถบสีหลายๆ สีทอดโค้งอยู่เหนือยอดป่าโกงกางหลังบ้าน สีสันของมันชวนชม ตัดกับสีของผืนฟ้า ในขณะที่แสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดเข้ามาเห็นเป็นสีหมากสุก น้ำในคลองเออล้นเต็มตลิ่ง แลไปที่ต้นโกงกางเห็นน้ำค้างเกาะอยู่พร่างพรายบนผิวของใบไม้.. ผมตื่นเต้นใหญ่เมื่อแม่อนุญาตให้ออกจากบ้านได้ตอนฝนหยุด ผมชวนน้องไปนั่งดูบนเรือของลุง แม่หุงข้าวทำแกงอยู่บนชานบ้านใกล้ๆ คอยดูแลพวกเรา.. แม่เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดเป็นแถบสีทอดโค้งตรงขอบฟ้านั้นว่า “รุ้งกินน้ำ” มันจะเกิดขึ้นบ่อยหลังฝนหยุดตกและแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องมา.. แต่พ่อก็ยังดูไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนอย่างกับที่ผมเป็นเลย แกได้เห็นสีของท้องฟ้าที่สวยงามกว่านี้ กลางท้องทะเลกว้างมันต้องพบเจอกับท้องฟ้าหลายอารมณ์ หลากหลายสีสัน และหลากหลายเรื่องราว...วันหนึ่งผมโตขึ้นแล้วจะได้เห็นมัน.. ผมตั้งหน้าตั้งตารอจนกว่าจะได้พบเจอกับความหฤหรรษ์เช่นนั้น ก็ต่อเมื่อผมมีความเป็นคนหนุ่มเต็มตัวแล้ว..

เราจัดเตรียมสัมภาระกันตั้งแต่กลางวัน ในขณะที่พ่อและคนอื่นๆ วุ่นอยู่กับการตรวจดูร่างอวน แม่ก็สาละวนอยู่กับการจัดเตรียมเรื่องเสบียงไว้ให้เราหุงหากินกันในเรือ จริงๆ แม่ยังไม่อยากให้ผมติดเรือไปกับพ่อหรอก เห็นว่าผมยังอ่อนหัด กลัวไปเป็นภาระคนอื่นๆ แกย้ำนักย้ำหนาถึงความลำบากที่ต้องไปทนอยู่บนเรือกลางน่านน้ำกว้างใหญ่ คลื่นลมเวลามันสงบก็ดีไปอย่าง หากเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว มันก็เสมือนต้องปล่อยวางชีวิตทั้งชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชะตากรรม.. แต่ผมก็ยังอยากออกไป และพ่อก็เห็นงามกับผม.. แกอยากให้ผมออกไปเจอ ไปหัดจับโน่นถือนี่ ผมโตแล้วที่จะต้องเรียนรู้ เพราะต่อไปมันคืองานที่ผมจำต้องประสบ..แม่เลยตามใจ แม้จะยังเป็นห่วงแต่ก็จำยอม..
เราขนของลงเรือกันหลังมื้อค่ำ จัดเรียงทุกๆ อย่างไว้เป็นที่เป็นทาง ทุกคนลงมาพร้อมกันในเรือหลังรอจนน้ำในคลองขึ้นจนล้นตลิ่งให้เรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย พ่อก็ติดเครื่องยนต์เดินหน้า.. แม้ฟ้าคืนนั้นมืดสนิท แต่ดวงดาวนับร้อยพันบนแผ่นฟ้าส่องเป็นประกายระยิบระยับชวนมอง ลมกลางคืนพัดผ่านป่าโกงกางโชยกลิ่นเลนกลิ่นพืชพันธุ์มายั่วยวนอยู่ปลายจมูก เสียงคำราญของเครื่องยนต์เรือดั่งสนั่นเกิดเป็นเสียงสะท้อนอยู่ในพงรกของผืนป่าโกงกาง เรือหัวโทงเคลื่อนที่แหวกน่านน้ำในลำคลองแยกออกเป็นคลื่นลูกเล็กๆ อากาศหนาวเหน็บจับใจ แต่ความตื่นเต้นกับการผจญทะเลครั้งแรกมันเหมือนดวงไฟเล็กๆที่รุ่มเร้าอยู่ภายในใจ..

เราแล่นเรือไปตามลำคลองที่สองฟากปกคลุมไปด้วยผืนป่าโกงกางสักพักใหญ่ก็ถึงเวิ้งกว้างของผืนทะเล แม้จะเห็นเพียงรางๆ เพราะความมืด แต่กลิ่นอายที่แฝงมากับสายลมมันบอกถึงความกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา.. พ่อแล่นเรือเบาๆ บนกระแสคลื่นเอื่อยๆ ย่ำรุ่ง เบื้องหน้าเห็นแต่ภาพความมัวหม่นของผืนทะเลอันกว้างใหญ่ที่เมื่อตั้งตามองแล้วจะเห็นเส้นแบ่งขอบฟ้าและทะเลอยู่รางๆ.. ด้านหลังที่เรากำลังจากมาคือฟากฟ้าฝั่งตะวันออกที่เริ่มเห็นแสงสีส้มอ่อนๆ แหวกความมัวหม่นของผืนราตรี.. สายลมหนาวพลิ้วผ่านจนผิวเนื้อเต่งตึง แลดูผืนน้ำเห็นเพียงคลื่นที่ขึ้นลงสลับซับซ้อนหลายๆ ลูก.. แสงรางๆ ที่สาดมาจากด้านตะวันออกทำให้แลเห็นใบหน้าของพ่อซึ่งถือท้ายเรือบังคับหางเสืออยู่รางๆ ส่วนผมและลูกเรือของพ่ออีกสองคนหลบอยู่ในเก๋งเรือ คนหนึ่งยังหลบหลับปุ๋ยภายใต้ผ้าห่มผืนบางๆ อีกคนนั่งมวนยาเส้นสูบปล่อยควันโขมงในเก๋งเรือก่อนจางหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน.. คนแรกชื่อพี่หนู แกออกทะเลกับพ่อมาสักระยะหนึ่งแล้ว เคยออกไปเรียนชั้นมัธยมในเมือง แต่ก็เรียนไม่จบ เพราะฐานะทางบ้านลำบาก เลยกลับมาอยู่บ้านหัดออกทะเลหาปลา จนเดี๋ยวนี้ช่ำชอง แต่ยังไม่มีเรือเป็นของตัวเอง จึงร่วมงานกับพ่อ ได้ปลาเท่าไหร่พ่อก็แบ่งให้ตามควร ส่วนอีกคนคือพี่เสือ ลูกพี่ลูกน้องของผม ออกทะเลมาตั้งแต่เด็ก ช่ำชองในทุกๆ เรื่องกลางทะเล แกเคยอยู่เรือใหญ่หาปลาในเขตน่านน้ำประเทศมาเลเซีย แม้จะเสี่ยงแต่แกเคยบอกว่ามันจำเป็นต้องทำ ตำรวจท้องถิ่นที่นั่นไม่เรื่องมาก มีเงินปั่นส่วนให้สักหน่อย เราก็ลงมือวางอวนได้เสรี..แต่พี่เสือก็จำต้องลาออกจากงานนั้น เพราะไม่กินเส้นกับไต๋เรือจอมเจ้าเล่ห์ ทุกวันนี้เลยกลับมาออกทะเลร่วมกับพ่อ

ฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มเฉิดฉายด้วยแสงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาเต็มดวง กลางผืนฟ้าเริ่มมองเห็นปุยเมฆสีขาวแซมด้วยสีคล้ำจางจนถึงดำสนิท พี่เสือบอกเราอาจเจอฝนในช่วงสายๆ แต่คงไม่นาน ลมบันดาหยาซึ่งพัดพากลุ่มเมฆฝนจากทางใต้เพิ่งผ่านไปเมื่อสามสี่ค่ำก่อน คงไม่หนักมากพอให้เราได้แล่นเรือสะดวก พี่หนูยังนอนซมอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ขณะที่พี่เสือลุกจากที่นั่งไปประจำตรงหัวเรือ.. พ่อยังคงยืนถือท้ายเรืออยู่เช่นเดิม แต่เร่งความเร็วของเรือเพิ่มขึ้น เบื้องหลังที่เราเพิ่งผ่านมาเริ่มเห็นแผ่นดินจางๆกับผืนน้ำทะเล ข้างหน้าแลไกลสุดตาเห็นหมู่เกาะเรียงรายอยู่ห่างๆ กับม่านหมอกจางๆ ที่ค่อยๆ เลือนหายไปกับแสงแดดที่เจิดจ้าขึ้น เรือของเราแล่นฝ่าน่านน้ำขึ้นลงตามเกลียวคลื่น สายลมอุ่นๆ กระทบผิวให้รู้สึกสดชื่น..

เบื้องหน้าแลเห็นเพียงเส้นขอบฟ้าที่เสมือนจุดสุดท้ายของสายตาที่สามารถมองเห็น ฟากฟ้าฝั่งตะวันวันตกเห็นปุยเมฆขาวก่อตัวบดบังสีครามของผืนฟ้า แลลงมาตรงน่านน้ำสีมรกตเห็นเพียงเกลียวคลื่นกับฟองน้ำขาวๆ ใสๆ..แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องน่านน้ำก่อประกายระยิบระยับชวนมอง เสมือนกองเพชรนิลจินดาที่ถูกโปรยหว่านไว้กระจัดกระจายเหนือน่านน้ำ..
พี่หนูพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนสองสามทีก่อนลุกขึ้นเก็บผ้าห่มไว้ในมุมด้านใน “เป็นไงถึงไม่นอน.. ยังอีกไกลหรอก ไม่ต้องตื่นเต้น เรายังต้องแล่นเรือไปอีกสักพักแหล่ะ” แกยิ้มบางๆ ก่อนจับบ่าผมซึ่งนั่งกอดเข่าอยู่เดินโค้งหลังงอตามความเตี้ยของเพดานเก๋งออกไปท้ายเรือ หยิบกระติกน้ำร้อนเทลงแก้วชงกาแฟดำ การชงเป็นไปอย่างทุลักทุเลตามแรงคลื่นที่กระทบเรือ ก่อนถือแก้วกาแฟเดินไปนั่งใกล้พี่เสือ.. พ่อหันมาทักทายผมโดยเสยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก “หิวหรือยัง” คำพูดแรกที่ออกจากพ่อตั้งแต่แล่นเรือออกจากท่า ผมส่ายหน้าเบาๆ ส่งยิ้มคืนให้ พ่อชี้ให้ดูเกาะแก่งที่เรียงรายสลับใกล้ไกล และบอกชื่อทั้งที่มาคร่าวๆ
แสงแดดเจิดจ้าในยามสายสาดส่องน่านน้ำกระทบเข้านัยน์ตาจนปวดแสบ หมู่เมฆก่อตัวเปลี่ยนรูปหลากหลาย นกนางแอ่นหลายตัวบินว่อนเล่นลมอยู่หลายจุด บางตัวพุ่งลงมาตรงผิวน้ำฉกปลาเล็กๆ ขึ้นทะยานฟ้าก่อนบินหายไปกับสายลม ปลาบางชนิดกระโจนเล่นเหนือผิวน้ำก่อนมุดหายกลับใต้ผืนทะเล แลไปไกลๆ นอกเรือทั้งซ้ายและขวาเห็นธงอวนลอยปักสลับสีแดง ขาว อยู่รำไร เรือประมงสี่ห้าลำลอยเด่นอยู่ห่างๆ ..ฟากฟ้าทั้งผืนแลดูสดใส..
......

แสงแดดยามเที่ยงไม่ได้เจิดจ้าอย่างที่ควรเป็น แสงของมันเริ่มเจือจาง พ่อเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าหลายหน เร่งความเร็วของเรือฝ่าเกลียวคลื่นที่สูงขึ้น ฟ้าฝั่งตะวันตกเริ่มมีเมฆจับกลุ่มก้อนหนาสีคล้ำไปจนถึงดำสนิท มองไกลๆ ไปเหนือน่านน้ำเบื้องหน้าเห็นสีเขียวคล้ำก่อตัวลบความใสกระจ่างของสีมรกตแห่งผืนน้ำอยู่รำไร มันคือแรงลมที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนเกิดห่าฝนโปรยปรายลงน่านน้ำ พี่เสือและพี่หนูหวนกลับเข้าสู่เก๋งเรืออีกครั้ง พ่อยังยืนคุมหางเสือเช่นเดิม ลมกรรโชกแรงขึ้นก่อคลื่นสูงใหญ่ สายฝนโปรยลงกระทบหลังคาเก๋งเรือส่งเสียงสนั่น พ่อเร่งความเร็วแหวกเกลียวคลื่นสูงใหญ่ที่ผลักเราให้สูงขึ้นก่อนกระโจนลงเพื่อรับแรงกระแทกจากคลื่นอีกหลายๆ ลูกนับครั้งไม่ถ้วน ฝนห่าใหญ่โปรยลงมาเหมือนท้องฟ้ารั่ว พ่อยืนคุมหางเสือตายังมองไกลไปเบื้องหน้า แม้ฝนเม็ดใหญ่จะถาโถมลงมา เสื้อผ้าของพ่อเปียกปอนแต่ยังสะบัดพลิ้วไหวตามแรงลม ฝนโปรยลงมาจนรอบๆ ลำเรือเห็นแต่ความพร่ามัว เสียงห่าฝนสนั่นสยบแม้เสียงเครื่องเรือที่ถูกเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ห่าฝนยังคงโปรยปรายไม่หยุดหย่อน พ่อยังคงแล่นเรือเดินหน้าทั้งร่างกายที่เปียกปอน น้ำฝนชโลมใบหน้าที่เคยเกรียมแดดไหลลงเป็นทางตามร่องเว้าของใบหน้า สายลมพัดสะบัดปลายเสื้อของพ่อให้พลิ้วไหว กระดุมเสื้อบางเม็ดหลุดออกจากรัง เผยรูปร่างกำยำที่เปียกโชกไปทั้งตัว พ่อหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนเร่งฝีเรือแหวกเกลียวคลื่นและลมฝนสู่เบื้องหน้า..
สักพักใหญ่ลมและฝนถึงค่อยๆ ซาลง.. พ่อชะลอความเร็วของเรือให้อยู่ในระดับปกติ เกลียวคลื่นเบาบางลง รอบๆ ลำเรือเริ่มมองเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ใสมรกตเช่นเดิม พ่อเรียกพี่เสือมาจับท้ายเรือ ก่อนเดินโค้งตัวเข้ามาในเก๋งฉวยผ้าขาวม้าซับหน้าที่เปียกโชก “เป็นไง สนุกไหม” พ่อทักทายด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว ก่อนบอกให้พี่หนูเตรียมร่างอวน พ่อชี้แนะให้พี่เสือเบี่ยงเบนเส้นทางเรือเลียบเกาะ เราจะวางอวนบริเวณนั้น ตกค่ำเราจะไปอาบน้ำอาบท่า ทานข้าว และอาจลอยลำนอนพักกันแถวนั้น..
พี่เสือชะลอความเร็วเรือเพ่งสายตาไปรอบๆ ดูกระแสน้ำและทิศทางลม พ่อและพี่หนูเริ่มต้นคลี่ร่างอวนออกไปยืนอยู่หัวเรือ ร่างอวนค่อยๆ ถูกหย่อนลงผืนน้ำจมหายไป โดยมีพ่อและพี่หนูค่อยๆ จับ และปล่อยออกไปที่ละนิดๆ ตามความเหมาะสม.. พี่เสือเดินเรือค่อยๆ ฝ่ากระแสน้ำลากร่างอวน.. ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างใส หมู่เมฆทะมึนลอยหายสู่ฟ้าฝั่งตะวันออก สายลมเริ่มเบาบางแต่ยังจับต้องกายให้หนาวสั่น..
..........
แสงแดดเจิดจ้าพอที่จะแผดเผาผิวหนังให้แห้งเกรียม.. ผมใส่เสื้อแขนยาวทับเสื้อยืดอีกชั้นแม้อากาศจะอบอ้าว บวกกับกลิ่นอายทะเลที่ชวนสำรอก.. ลมนิ่งลงกว่าเดิม แม้น้ำในทะเลจะไหลเชี่ยวกรากตามทิศทางของมัน ฟ้าฝั่งตะวันออกที่จากมาเริ่มมีกลุ่มเมฆก่อตัวเห็นเป็นสีควันบุหรี่ ฝั่งตะวันตกยังคงมัวหม่น แม้อาทิตย์จะเคลื่อนย้ายเลยเที่ยงมาตั้งนาน ทะเลดูสงบ เรากำลังลอยลำอยู่ไม่ห่างจากเกาะสักเท่าไหร่ ทั้งพ่อและพี่ๆ ทั้งสองกำลังสาละวนอยู่กับการปลดปูปลาออกจากร่างอวน ขณะผมได้ช่วยเกลี่ยน้ำแข็งในลังเมื่อใส่ปลาตัวโตๆลงไป..
เสร็จจากปลดปลาออกจากร่างอวน พี่เสือดึงสมอเรือขึ้นจากน้ำ ขณะพ่อหมุนจักรเครื่องเรือให้ติดอีกครั้ง ก่อนแหวกคลื่นเบาๆ ตรงไปยังชายหาดของเกาะ พ่อบอกเราจะไปหาน้ำอาบ และหุงหาอาหารกันที่นั่น เกาะเล็กๆ หาดทรายขาวกลางผืนน้ำ..
เราผลัดกันออกไปอาบน้ำล้างตัว ขณะพี่หนูกำลังสาละวนอยู่กับการปรุงอาหาร พ่อบอกแกงส้มปลากระบอกสดๆ กินกันในเรือยามเย็นมันวิเศษที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มผักลงไป แกงเอาง่ายๆ ที่สำคัญคือเนื้อปลามันสดๆ แน่น และหวาน.. พี่หนูดูช่ำชองในเรื่องการปรุง แม้เครื่องปรุงที่เรามีนอกจากเครื่องแกงที่แม่โคลกมาให้จากบ้านแล้วคือเกลือเพียงอย่างเดียว แต่กลิ่นเย้ายวนที่วนเวียนฟุ้งกระจายอยู่รอบบริเวณนั้นมันกระตุ้นให้น้ำลายสอ.. ปูม้าสดๆ เจ็ดแปดตัวถูกหย่อนลงหม้อไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีส้มสด พ่อบอกเราไม่ต้องมีน้ำจิ้มหรอก ปูสดๆ จากทะเลเนื้อแน่นๆ อย่างนี้กินกับข้าวก็วิเศษสุดแล้ว..
พี่เสือขนไม้ฟืนจากป่าละเมาะบนเกาะมากองไว้ก่อไฟไล่ยุง ขณะพ่อล้างร่างอวนเตรียมลงงานอีกครั้งในย่ำรุ่งของวันพรุ่ง..
บนชายหาดใต้ร่มสนฝั่งตะวันตกของเกาะ.. ฟ้ายามเย็นเริ่มมัวหม่นเห็นเมฆสีคล้ำรวมกลุ่มค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปฝั่งตะวันออก สายลมจากกลางทะเลพัดโชยเข้าหาฝั่งของเกาะเบาๆ ให้เรือของเราโครงเครงขึ้นลง ตามแรงผลักของคลื่น ฝูงริ้นไรเริ่มตอมและกัดจนแสบคันไปตามแขนขา อาทิตย์จวนอัสดง เห็นฟากฟ้าสีน้ำเงินกับหมู่เมฆถูกทาบทาด้วยแสงสีชมพูจางๆ เสียงหรีดเรไรกังวานสนั่นเกาะ ไฟในกองถูกสุมให้โหมแรงขึ้นส่งควันโขมงลอยขึ้นกลางอากาศ พ่อปูเสื่อนอนยืดแข้งยืดขาสบายอยู่บนลายทราย ขณะพี่หนูกับพี่เสือยังคงนั่งจิบกาแฟมวนยาเส้นสูบปล่อยควันฟุ้งกระจาย น่านน้ำฝั่งตะวันตกเห็นเป็นสีคล้ำกว้างไกล สุดสายตาเห็นเส้นขอบฟ้าที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนลงเรื่อยๆ แปรเปลี่ยนแสงซึ่งทาบทาอยู่บนผิวก้อนเมฆให้สลับสีอ่อนๆ งามๆ อยู่น่าชวนชม เหนือน่านน้ำสีคล้ำบริเวณตรงกลางถูกสาดด้วยแสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ก่อนอัสดงเห็นเป็นสีทองอ่อนโยน.. มันผันแปรอยู่เรื่อยๆ ค่อยๆ เจือจางลง จนเมื่อผืนทะเลอมอาทิตย์ลงทั้งดวง ผืนฟ้าจึงค่อยๆ มืดลง.. ราตรีกาลมาเยือนอย่างน่าพิศวง..

ผืนฟ้าดำสนิทหรอก.. ดวงดาวถึงประกายแสงระยิบระยับอยู่เต็มฟ้า แสงของมันอ่อนโยนจนน่าหลงใหล แม้ดวงจันทร์จะยังหลบอยู่อีกฟากฟ้าหลังเกาะ แต่แสงอ่อนๆ ของมันก็ยังสาดส่องให้น่านฟ้าฝั่งตะวันตกเจือจางอยู่บ้าง ดาวนับล้านประกายแสงเต็มฟ้า แม้บางส่วนถูกบดบังอยู่บ้างจากกลุ่มเมฆเล็กๆ ที่เคลื่อนย้ายอยู่เสมอ.. ลมทะเลพัดพาอณูอบอุ่นกลางน่านน้ำผ่านเข้ามาสัมผัสผิวหน้า กลิ่นทะเลมันอบอวนอยู่ในโพรงจมูก คลื่นซัดชายฝั่งเบาๆ เห็นปูลมวิ่งไปมาอยู่กระจัดกระจาย เสียงหรีดเรไรก้องกังวานกว่ายามเย็นแต่ไม่สามารถกลบเสียงคลื่นลมที่ยังคงซัดชายฝั่งเบาๆ อยู่สม่ำเสมอ พ่อและพี่ๆ ทั้งสองคนหลับปุ๋ยอยู่ใกล้ๆ กองไฟซึ่งยังโหมแรงพอขับไล่พวกริ้นไรให้ออกห่าง..
ดาวนับล้านเหนือฟากฟ้ายังคงยั่วยวนให้ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับใหลลงได้ แสงของมันอ่อนโยน ระยิบระยับ พร่างพราย อำไพ... ผมเอนกายบนลานทรายฝันถึงวันพรุ่ง...
...................

อากาศใกล้รุ่งหนาวเหน็บจนขนลุกชูชัน แสงจากดวงจันทร์ปลายฟ้าฝั่งตะวันตกสาดส่องมาเบาๆ ให้เห็นอยู่รางๆ ขณะดวงดาวซึ่งเคยประกายแสงระยิบระยับอยู่ในช่วงค่ำหายไป น้ำเริ่มลดแล้ว พี่เสือและพี่หนูเก็บข้าวของขนกลับลงเรืออย่างรีบเร่ง พ่อลากเรือเข้าหาฝั่งให้เราขนของลง แม้ยังจำต้องลุยน้ำลงไปพอประมาณ.. เรือถูกลากให้ลงไปอีกสักพักจนถึงจุดที่ลึกพอให้สามารถแล่นได้ พ่อก็หมุนเครื่องเรือเร่งเสียงคำรามก้อง.. พ่อเงยดูฟ้าอีกครั้งก่อนเร่งฝีเรือแล่นฝ่าเกลียวคลื่นไปทางทิศเหนือ.. ฟ้าฟากนั้นดูกระจ่างใส แม้ดวงตะวันอาจยังหลับใหลอยู่ในภวังค์ของค่ำคืน..
ผืนฟ้ามัวหม่นฝั่งตะวันออกเริ่มถูกโลมเลียด้วยแสงสีส้มอ่อนๆ อีกครา ตรงเส้นตัดระหว่างผืนน้ำทะเลและขอบฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มเห็นแสงจางๆ ส่องสาดขึ้นน่านฟ้าที่มีหมู่เมฆจับตัว แสงสีส้มอมขาวจางๆ ทาบทาผืนเมฆกลืนกินสีคล้ำให้จางหาย เหนือน่านน้ำเห็นเพียงหมอกหนาบดบังผืนภาพแห่งชีวิตเบื้องหลัง ลมหนาวพัดผ่านผิวหน้าเย็นเข้าถึงกระดูก เรือแล่นในอัตราความเร็วคงที่ แสงเจือจางจากฝั่งตะวันออกพอให้แลเห็นรอบๆ อยู่จางๆ

สักพักหรอก ฟ้าเกือบทั้งผืนถึงได้สว่างจนเกือบจ้า เมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากน่านน้ำเพียงครึ่งดวง แสงของมันส่องสาดน่านฟ้าที่เคยมืดสนิทให้สว่างไสว ม่านหมอกเหนือน่านน้ำจางหายไปกับพลังแสงที่เจิดจ้า นกทะเลหลายตัวโผบินอย่างเบิกบานอยู่เหนือน่านน้ำ มันบินเล่นลมไปมา บางตัวเล็งสายตาเพ่งมองลงสู่เบื้องล่างจับจ้องปลาบางตัวที่เผลอเวียนว่ายผิวน้ำ สายลมค่อยๆ โชยพัดผ่าน เกลียวคลื่นทะเลโอบอุ้มลำเรือไว้อย่างหยาบๆ เรามิอาจคาดการได้ถึงความปรวนแปรแห่งน่านน้ำ แม้ท้องฟ้าเบื้องบนจะกระจ่างใส เห็นเมฆขาวจับกลุ่มค่อยๆ เคลื่อนไหวอยู่ทางใต้ เรือของเราแล่นฝ่ากระแสคลื่นลมสู่เบื้องหน้า ณ จุด ใดจุดหนึ่ง กลางผืนทะเลกว้างใหญ่.....
.............................................

พฤศจิกายน 2553, ณ เรือนศิลป์กะรักษ์

เรื่องสั้น เป็ดไข่


บังอุหมอดลุกขึ้นแต่เช้าตรู่พาอาลีลูกชายวัยสิบเอ็ดขวบ แจวเรือล่องตามลำคลอง... จุดมุ่งหมายของทั้งสองคือดงเสม็ดบนโคกกลางผืนป่าโกงกาง แกตัดไม้ขนาดท่อนแขนยาวสี่เมตรแปดต้นให้อาลีขนลงเรือ จากนั้นก็นำกลับมาเหลาโคนให้แหลมปักเป็นเสาข้างละสี่ ตามความกว้างยาวที่พอเหมาะก่อนล้อมไว้ด้วยอวน ส่วนภายในแกได้ไม้ที่หาได้รอบๆ บ้านมาก่อเป็นกระต๊อบเล็กๆ ไม่ต้องยกพื้นขนาดความกว้างสองเมตรยาวสามเมตรเศษๆ และใช้สังกะสีเก่าๆ ที่เหลือจากสร้างบ้านมามุงเป็นหลังคาอย่างมิดชิด .. แกจะทำเล้าเป็ด..

ข่าวเรื่องรถเร่ขายลูกเป็ดไข่ซึ่งพ่อค้าจากภาคอีสานนำมาเต็มคันรถ เพิ่งเข้าหูแก ลูกค้าร้านน้ำชาขาประจำมาคุยกันแต่เรื่องนี้ บางคนซื้อมาเลี้ยงสามสิบถึงสี่สิบตัว วิธีเลี้ยงไม่ยากและหนักหนาอะไรมากมาย แค่ซื้ออาหารกระสอบกะประมาณพอเหมาะในแต่ละวัน พร้อมน้ำใส่กะละมังไว้ แค่นั้นก็เฝ้ารอให้มันเจริญเติบโตเองตามธรรมชาติและรอเก็บไข่มากินหรือขายได้

บังอุหมอด ชายวัยประมาณสามสิบปลายๆ แกยังดูหนุ่มอยู่เสมอ เพราะแต่งงานมีลูกเร็วและต้องรับผิดชอบครอบครัวหรอก แกถึงดูเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะรูปร่างแกเป็นคนร่างอ้วน ผิวคล้ำ พุงยื่นออกมาพอเหมาะ ไม่ถือว่ามากนัก ชอบนุ่งผ้าขาวม้าสีแดงสลับดำจางๆ ผืนเดียว ไม่ชอบใส่เสื้อ เหมือนพยายามโชว์พุงและขนหน้าอกที่มีอยู่เป็นหย่อมๆ ตรงกลางระหว่างนม หน้าตาของแกดูเข้ม ขรึม ผมหยิกยาวประมาณติ่งหู เวลาแดดส่องแลเป็นสีแดงจางๆ สลับดำ มีหนวดเคราหนาพอประมาณ เพราะค่อยๆ เล็มอยู่เสมอ

แกไม่ค่อยมีเวลาว่างอย่างคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ยึดอาชีพประมง หากไม่ออกทะเล หรือดักปูหาปลาในคลองกันแล้วถึงมีเวลาเหลือทำอย่างอื่น หรือไปมาหาสู่กับเพื่อนฝูง
บ้านของแกเป็นร้านค้าของชำและร้านน้ำชาร้านเดียวในชุมชน ตั้งแต่หัวรุ่งแกกับภรรยาต้องออกจากบ้านด้วยรถมอเตอร์ไซพ่วงข้างเพื่อจับจ่ายตลาด ทั้งผักสด กับข้าว อาหารแห้งมาวางขายหน้าร้าน กลับมาก็ต้องเตรียมการหาฟืนก่อไฟให้ภรรยาทอดขนมกล้วยแขกขาย ตกเที่ยงต้องไปวิดน้ำเรือ แกมีเรือเหมือนคนอื่นๆ แต่ไม่ค่อยได้ใช้อย่างอดีตที่เคยออกทะเลหาปลา มีบ้างบางครั้งที่เคยคิดจะขายให้เพื่อนบ้าน แต่คิดไปคิดมาหลายๆ รอบก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึก เพราะเรือลำที่มีอยู่นั้นเป็นเรือซึ่งตกทอดมาจากรุ่นพ่อ อย่างน้อยมีไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถึงแม้ไม่ได้ใช้เหมือนอย่างคนอื่นๆ ทุกวัน หากแต่บางครั้งจะเข้าไปตัดไม้ เก็บพืชผักในป่าโกงกางบ้าง ก็ไม่ต้องไปหยิบยืมเรือของใคร

ตกบ่ายแก่ๆ หลังได้มีเวลาพักผ่อนสักสองชั่วโมง ภรรยาก็จะปลุกแกขึ้นมารดน้ำพรวนดินในสวน ซึ่งแกได้ปลูกพืชผักจำพวกถั่วฝักยาว ขิง ข่า ตะไคร้ ผักหวาน ชะอม ฯลฯ ไว้มากมาย แกไม่อยากซื้อผักประเภทนี้ในตลาด เห็นว่ามันปลูกง่าย และจำเป็นต้องใช้อยู่เสมอ ปลูกเองกินเองเสียดีกว่าไปขนมาจากที่อื่นๆ.. ผักที่แกซื้อมาขายจากตลาดล้วนเป็นประเภทที่ชาวบ้านไม่ค่อยปลูก หรือปลูกก็ไม่ขึ้น เนื้อดินที่นี่มันเป็นดินร่วนปนทรายเสียส่วนใหญ่

แกเคยร่วมเลี้ยงปลากะชังกับเพื่อนบ้าน ล่าสุดจับปลาขึ้นมาขายไม่ได้ราคา ซ้ำยังต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะจับมากินมาขายได้ ภรรยาแกไม่อยากรอนานๆ ภาระในบ้านบางส่วนจำเป็นต้องหารายได้ต่อวัน แกเลยเลิกและหันมาลงทุนเปิดร้านค้าของชำและร้านน้ำชา อย่างนี้ดีเสียยิ่งกว่า เช้าๆ กลับจากตลาดมาเปิดร้าน แกก็มีลูกค้าแน่นอนที่ต้องมาซื้อหาของกินของใช้ บ้างมานั่งสั่งน้ำชา กาแฟ.. ร้านแกเลยกลายเป็นเสมือนศูนย์กลางของชุมชน ที่ซึ่งใครๆ ต่างไปมาหาสู่ จับจ่ายสินค้าในร้าน ทั้งเป็นที่สภากาแฟของคอการเมืองหรือเรื่องต่างๆ สัพเพเหระ..
แกเลยรู้เรื่องความเคลื่อนไหวต่างๆ ภายในหมู่บ้าน ไม่ว่าเรื่องราวของใคร ครอบครัวไหนเป็นอยู่อย่างไร ใครเข้าออกในชุมชนบ้าง หรือใครออกทะเลได้ปูปลามาเท่าไหร่แกรู้เรื่องทันเสียทั้งหมด..

จนมีคนมาพูดเรื่องรถเร่ขายลูกเป็ดไข่ที่ร้าน..ราคาของมันแค่ตัวละสิบบาท ลูกค้าแกคนหนึ่งซื้อไว้ตั้งยี่สิบตัว บางคนซื้อสามสิบถึงสี่สิบตัว ตอนนี้ต่างก็ทำเล้าไว้หลังบ้าน เฝ้ารอให้ถึงเวลามันออกไข่ .. บังอุหมอดได้ยินเรื่องดังกล่าวก็อดที่จะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนบ้านเหล่านั้นไม่ได้ บางคราเกือบลืมชงชาให้ลูกค้าในร้านเพราะมัวแต่สอบถามแต่เรื่องของลูกเป็ดไข่ บางคนแนะนำให้แกรีบทำเล้าเสียก่อน รถเร่ขายมันจะแวะเวียนมาอีกสองสามวัน.. แกคงตื่นเต้นใหญ่ เฝ้านึกคิดแต่เรื่องลูกเป็ดไข่ และหาช่วงเวลาว่างๆ ปรึกษากับภรรยาเรื่องทำเล้าเลี้ยงเป็ดตรงเนื้อที่ว่างหลังบ้าน..

เวลาสายของเช้าวันแดดจ้า.. หลังลูกค้าร้านน้ำชาของแกทยอยออกจากร้านสู่หน้าที่การงานตั้งแต่แดดยังอ่อนๆ บังอุหมอดก็รีบจัดเก็บของ ล้างถ้วยชากาแฟในร้านก่อนมาช่วยภรรยาใส่ฟืนในเตาทอดขนมกล้วยแขก .. ภรรยาแกเหมือนรู้และเห็นงามกับเรื่องเลี้ยงเป็ดไข่ดังที่ลูกค้าหลายคนในร้านพูดพร่ำกันตั้งแต่เช้า เลยชิงเอ่ยถามแกขึ้นมาก่อน
“สนใจเลี้ยงเป็ดกับเขาด้วยหรือ” บังอุหมอดยิ้มเงยหน้าขึ้นจากเตาหยักคิ้วข้างหนึ่งให้กับภรรยา..
“ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยาก พรุ่งนี้เราน่าจะต้องรีบซื้อของในตลาด จะได้รีบกลับมาไวๆ ฉันจะได้พาอาลีลงไปตัดไม้เสม็ดมาล้อมอวนทำเล้าเป็ดไว้หลังบ้าน” บังอุหมอดตีหน้าเข้มสื่อความตั้งใจให้ภรรยาเห็น
“บังก็เอาซิ.. อย่างน้อยทำเล้าเสร็จ ซื้อลูกเป็ดมา ก็ให้อาลีมันดูแล ทั้งคอยเก็บไข่มาขายหน้าร้านได้ กลับจากโรงเรียนมา ก็เห็นมันเที่ยววิ่งเล่นกับเพื่อนอยู่หรอก มีงานให้ทำบ้างก็หน้าจะดี” ภรรยาบังอุหมอดแทรกความตั้งใจเสริม
“ไม่เป็นไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันหรอก”
“งั้นขากลับจากตลาดพรุ่งนี้เช้าเราก็ซื้ออาหารเป็ดติดรถมาด้วยเลย ซื้อมาเยอะๆ” บังอุหมอดดูตื่นเต้นใหญ่
....


สองสามวันหลังจากนั้นบังอุหมอดไม่ยอมออกจากบ้านไปวิดน้ำเรือในช่วงบ่าย ปล่อยเรือหัวโทงของแกซึ่งผูกไว้ตรงท่าเรือริมคลองเต็มไปด้วยน้ำที่ซึมเข้ามา.. ทุกๆ บ่ายเคยเห็นแกออกมาวิดน้ำเรือ แม้บ่อยครั้งนักที่แกลากขึ้นมาหงายท้องทาชันใหม่เพื่อปิดรอยรั่วเล็กๆ ที่เกิดจากการชอนไชของแมลง หรือรอยรั่วเล็กๆ ที่ไม่เคยรู้สาเหตุ แต่ก็ยังมีน้ำซึมเข้ามาภายในอยู่เสมอ บางวันหากฝนตกลงมาแกก็ต้องรีบมาวิดน้ำออก ปล่อยไว้จะเสี่ยงเรือจม เพราะเมื่อน้ำขึ้นหนุนมาจากทะเลมากๆ หากปล่อยไว้ คงต้องเกณฑ์เพื่อนบ้านมาช่วยยกขึ้นจากน้ำหลังมันจมลงก้นคลอง..

แกได้แต่ป้วนเปี้ยนไปมา ทำโน่นทำนี่อยู่บริเวณบ้าน บางทีถือจอบตรงไปหลังบ้านถากหญ้า เก็บกวาดบริเวณภายในเล้าเป็ด บางทีก็ยืนพิงเสาเล้าเป็ดมือกอดอกอยู่เฉยๆ มองดูภายในเล้าเป็นเวลานานๆ.. สักพักแกจะเดินกลับออกมาหน้าบ้านแล้วถามเรื่องรถเร่ขายเป็ดจากภรรยา แกไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่รอรถขายเป็ด เผื่อมันผ่านมาจะได้รีบดักเอาไว้..

“บังไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยู่หน้าบ้านทั้งวัน หากผ่านมา ก็เห็นซิ บังไปท่าเรือเถอะ” ภรรยาบังหมอดรี่ตาหลบควันไฟขณะสาละวนอยู่กับการสุมไฟในเตา เมื่อเห็นท่าทางของสามีดูเคร่งเครียด เงียบขรึมไม่ยอมพูดยอมจา เลยเสนอให้ไปวิดน้ำเรือ..

แดดยามบ่ายแก่ๆ ค่อยๆ เจือจางลง แกยังเดินไปเดินมาอยู่สองสามที่ สะบัดผ้าขาวม้าผูกกระชับใหม่ตั้งหลายหน สีหน้าแกดูซึมๆ ไม่ยอมพูดยอมจา แม้ลูกค้ามาซื้อของในร้าน แกก็ไม่ได้ยิ้มแย้มหรือกล่าวทักทายใดๆ..

จนแว่วเสียงประกาศของรถขายเป็ดผ่านลำโพงตรงหัวรถกระบะสีแดงป้ายทะเบียนบอกชื่อจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานดังเข้ามาในรูหูทั้งสองข้าง แกยิ้มแห้งๆ ออกมาตรงมุมปาก ก่อนเรียกภรรยาให้เอาเงินในลิ้นชักมาให้ วิ่งไปยืนรอตรงริมถนนหน้าบ้าน ดูกระบะคันดังกล่าวค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาช้าๆ ก่อนมาจอดอยู่ตรงหน้า..
เสียงประกาศตรงตู้ลำโพงถูกรี่เสียงให้เบาลง ก่อนคนในรถสองคนจะเปิดประตูรถลงมาทักทาย..

“เป็นไงบัง จะซื้อเป็ดไหม ตัวละสิบบาท วันนี้ขายไปแล้วเกือบสามสิบตัว บ้านต้นซอยเขาซื้อไป” คนขายเปิดประตูรถลงมาส่งรอยยิ้มกว้างๆ เห็นไรฟัน

“เอาซิ” บังอุหมอดเดินตรงไปยังท้ายรถ เห็นลูกเป็ดหลายตัวตัวส่งเสียงร้องเอะอะดังไม่เป็นภาษา แกยิ้มใหญ่แล้วหันไปเรียกภรรยามาช่วยเลือกลูกเป็ด
“เลือกเอาเลยบัง..ตัวเมียหมด” คนขายเชียร์ใหญ่

แกเลือกเอาแต่ตัวใหญ่ๆ สามสิบตัว เฟ้นเอาแต่ตัวร้องเสียงเบาๆ แกบอกจะได้ไม่รำคาญหู ทั้งภรรยาและแกช่วยกันขนไปใส่ในเล้า และโปรยอาหารให้..

“ขอบใจมากบัง.. ไม่ต้องห่วงอีกไม่นานได้กิน” คนขายโบกมือลา ก่อนค่อยๆ เคลื่อนรถหายไป..
บังอุหมอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับฝูงเป็ดในเล้า แกเดินไปเดินมารอบๆ เล้าตรวจดูร่างอวนที่ล้อมไว้เผื่อมีรอยฉีกขาดหรือยังไม่ได้ปิดไว้ดีพอ.. ตกกลางคืนแกก็เดินมาดูและเปลี่ยนน้ำในกะละมังอยู่เสมอ


....
เป็ดพวกนี้โตวันโตคืน.. กินอาหารเยอะกว่าที่บังอุหมอดเคยคิด เช้าทีบ่ายที แถมยังร้องเอะอะกันทั้งฝูงให้ต้องโปรยอาหารให้อีกรอบในช่วงค่ำ.. บางครั้งเหมือนไม่มีเหตุผลใดๆ มันก็ร้องเอะอะดังลั่น วิ่งตามกันไปมุมโน้นทีมุมนี้ทีอยู่ทั้งวัน บางช่วงบังอุหมอดแกเคยอยากลองปล่อยให้มันออกมานอกเล้าบ้าง แต่คิดดูอีกทีหากมันทั้งหมดกระจายกันไปคนละทิศละทาง คงต้องตามต้อนกลับกันแย่ แกเลยปล่อยให้มันร้องเอะอะกันอยู่เช่นนั้น.. กลับจากตลาดแต่เช้าทุกวัน แกก็เดินแวะเวียนเข้าไปดู เผื่อมีบางตัวจะออกไข่มาบ้าง ตามกำหนดแล้วคงถึงเวลาที่จะได้เก็บมากินมาขายบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็น..ตกเย็นเป็นหน้าที่ของอาลีเมื่อกลับจากโรงเรียนก็ต้องแวะมาให้อาหาร ทั้งตรวจดูว่ามีออกไข่มาบ้าง..แต่ก็ไม่เคยเห็น..
แกตั้งข้อสงสัยต่างๆ นานา ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับฝูงเป็ด แต่ก็คิดไม่ตกเสียสักที อยากให้รถเร่ขายกลับมาอีกรอบ จะได้ไต่ถาม แต่ก็ไม่เห็นหัว มันคงตระเวนเร่ขายไปทั่วภาคใต้ คงอีกนานกว่าจะได้แวะเวียนกลับมาทางนี้อีกสักหน

แกเริ่มเซ็งๆ กับเป็ดพวกนี้ ที่นับวันยิ่งต้องเพิ่มจำนวนอาหารมากขึ้น แต่ก็จำยอมให้ เพราะทนทรมานกับเสียงเอะอะพวกนั้นไม่ไหว.. ภาระต่างๆ ที่แกเคยรับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลเล้าเป็ดจึงตกมาอยู่ที่อาลีและภรรยา ทั้งสองต้องเป็นฝ่ายรับภาระเรื่องให้อาหาร และเปลี่ยนน้ำในกะละมังอยู่เสมอ จนแกทนไม่ไหวที่จะต้องไปปรึกษาเพื่อนบ้าน

“ของแกเป็นไงบ้าง” บังอุหมอดซักเพื่อนบ้านที่เคยซื้อเป็ดไปเลี้ยงเช่นกัน
“กูแจกจ่ายบ้างขายบ้างเสียเกือบหมดเล้าแล้ว.. เหลือไว้ห้าตัวที่มีออกไข่อยู่บ้าง ไว้ให้พอเก็บมากิน”
“มึงช่วยมาดูของกูหน่อย” บังอุหมอดชักชวนเพื่อนให้เข้าไปดูเป็ดของแกในเล้าหลังบ้าน

“ซวยแล้วมึง ได้ตัวผู้มาหมด แล้วมันจะไข่ยังไงวะ”
“เวร” บังอุหมอดสะบัดหัวลุกขึ้นกระชับผ้าขาวม้าใหม่.. หน้าตาเคร่งเครียดหันมองฝูงเป็ดที่ร้องเอะอะโวยวายกระจายอยู่ในเล้า ก่อนย่างเท้าออกกลับไปหาภรรยา..

แกเดินวนไปเวียนมาหน้าบ้านอยู่หลายรอบ..ก่อนเดินกลับมาหาภรรยา
“มะรืนนี้ไปเชิญโต๊ะอีหม่ามและทุกคนในชุมชน เราจะทำบุญแกงเป็ดที่บ้าน” แกสั่งภรรยาไว้ก่อนเดินตรงไปยังรถพ่วงข้างขับออกเร็วปรื๋อไปยังท่าเรือซึ่งห่างจากบ้านไม่มากนัก ปล่อยภรรยาและคนในร้านงุนงง..

………………

กันยายน 2553, ณ เรือนศิลป์กะรักษ์