
ผมเคยเล่าให้พ่อฟังว่า วันหนึ่ง.. หลังฝนหยุดตกได้ไม่นาน ผมเห็นแถบสีหลายๆ สีทอดโค้งอยู่เหนือยอดป่าโกงกางหลังบ้าน สีสันของมันชวนชม ตัดกับสีของผืนฟ้า ในขณะที่แสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดเข้ามาเห็นเป็นสีหมากสุก น้ำในคลองเออล้นเต็มตลิ่ง แลไปที่ต้นโกงกางเห็นน้ำค้างเกาะอยู่พร่างพรายบนผิวของใบไม้.. ผมตื่นเต้นใหญ่เมื่อแม่อนุญาตให้ออกจากบ้านได้ตอนฝนหยุด ผมชวนน้องไปนั่งดูบนเรือของลุง แม่หุงข้าวทำแกงอยู่บนชานบ้านใกล้ๆ คอยดูแลพวกเรา.. แม่เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดเป็นแถบสีทอดโค้งตรงขอบฟ้านั้นว่า “รุ้งกินน้ำ” มันจะเกิดขึ้นบ่อยหลังฝนหยุดตกและแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องมา.. แต่พ่อก็ยังดูไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนอย่างกับที่ผมเป็นเลย แกได้เห็นสีของท้องฟ้าที่สวยงามกว่านี้ กลางท้องทะเลกว้างมันต้องพบเจอกับท้องฟ้าหลายอารมณ์ หลากหลายสีสัน และหลากหลายเรื่องราว...วันหนึ่งผมโตขึ้นแล้วจะได้เห็นมัน.. ผมตั้งหน้าตั้งตารอจนกว่าจะได้พบเจอกับความหฤหรรษ์เช่นนั้น ก็ต่อเมื่อผมมีความเป็นคนหนุ่มเต็มตัวแล้ว..
เราจัดเตรียมสัมภาระกันตั้งแต่กลางวัน ในขณะที่พ่อและคนอื่นๆ วุ่นอยู่กับการตรวจดูร่างอวน แม่ก็สาละวนอยู่กับการจัดเตรียมเรื่องเสบียงไว้ให้เราหุงหากินกันในเรือ จริงๆ แม่ยังไม่อยากให้ผมติดเรือไปกับพ่อหรอก เห็นว่าผมยังอ่อนหัด กลัวไปเป็นภาระคนอื่นๆ แกย้ำนักย้ำหนาถึงความลำบากที่ต้องไปทนอยู่บนเรือกลางน่านน้ำกว้างใหญ่ คลื่นลมเวลามันสงบก็ดีไปอย่าง หากเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว มันก็เสมือนต้องปล่อยวางชีวิตทั้งชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชะตากรรม.. แต่ผมก็ยังอยากออกไป และพ่อก็เห็นงามกับผม.. แกอยากให้ผมออกไปเจอ ไปหัดจับโน่นถือนี่ ผมโตแล้วที่จะต้องเรียนรู้ เพราะต่อไปมันคืองานที่ผมจำต้องประสบ..แม่เลยตามใจ แม้จะยังเป็นห่วงแต่ก็จำยอม..
เราขนของลงเรือกันหลังมื้อค่ำ จัดเรียงทุกๆ อย่างไว้เป็นที่เป็นทาง ทุกคนลงมาพร้อมกันในเรือหลังรอจนน้ำในคลองขึ้นจนล้นตลิ่งให้เรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย พ่อก็ติดเครื่องยนต์เดินหน้า.. แม้ฟ้าคืนนั้นมืดสนิท แต่ดวงดาวนับร้อยพันบนแผ่นฟ้าส่องเป็นประกายระยิบระยับชวนมอง ลมกลางคืนพัดผ่านป่าโกงกางโชยกลิ่นเลนกลิ่นพืชพันธุ์มายั่วยวนอยู่ปลายจมูก เสียงคำราญของเครื่องยนต์เรือดั่งสนั่นเกิดเป็นเสียงสะท้อนอยู่ในพงรกของผืนป่าโกงกาง เรือหัวโทงเคลื่อนที่แหวกน่านน้ำในลำคลองแยกออกเป็นคลื่นลูกเล็กๆ อากาศหนาวเหน็บจับใจ แต่ความตื่นเต้นกับการผจญทะเลครั้งแรกมันเหมือนดวงไฟเล็กๆที่รุ่มเร้าอยู่ภายในใจ..
เราแล่นเรือไปตามลำคลองที่สองฟากปกคลุมไปด้วยผืนป่าโกงกางสักพักใหญ่ก็ถึงเวิ้งกว้างของผืนทะเล แม้จะเห็นเพียงรางๆ เพราะความมืด แต่กลิ่นอายที่แฝงมากับสายลมมันบอกถึงความกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา.. พ่อแล่นเรือเบาๆ บนกระแสคลื่นเอื่อยๆ ย่ำรุ่ง เบื้องหน้าเห็นแต่ภาพความมัวหม่นของผืนทะเลอันกว้างใหญ่ที่เมื่อตั้งตามองแล้วจะเห็นเส้นแบ่งขอบฟ้าและทะเลอยู่รางๆ.. ด้านหลังที่เรากำลังจากมาคือฟากฟ้าฝั่งตะวันออกที่เริ่มเห็นแสงสีส้มอ่อนๆ แหวกความมัวหม่นของผืนราตรี.. สายลมหนาวพลิ้วผ่านจนผิวเนื้อเต่งตึง แลดูผืนน้ำเห็นเพียงคลื่นที่ขึ้นลงสลับซับซ้อนหลายๆ ลูก.. แสงรางๆ ที่สาดมาจากด้านตะวันออกทำให้แลเห็นใบหน้าของพ่อซึ่งถือท้ายเรือบังคับหางเสืออยู่รางๆ ส่วนผมและลูกเรือของพ่ออีกสองคนหลบอยู่ในเก๋งเรือ คนหนึ่งยังหลบหลับปุ๋ยภายใต้ผ้าห่มผืนบางๆ อีกคนนั่งมวนยาเส้นสูบปล่อยควันโขมงในเก๋งเรือก่อนจางหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน.. คนแรกชื่อพี่หนู แกออกทะเลกับพ่อมาสักระยะหนึ่งแล้ว เคยออกไปเรียนชั้นมัธยมในเมือง แต่ก็เรียนไม่จบ เพราะฐานะทางบ้านลำบาก เลยกลับมาอยู่บ้านหัดออกทะเลหาปลา จนเดี๋ยวนี้ช่ำชอง แต่ยังไม่มีเรือเป็นของตัวเอง จึงร่วมงานกับพ่อ ได้ปลาเท่าไหร่พ่อก็แบ่งให้ตามควร ส่วนอีกคนคือพี่เสือ ลูกพี่ลูกน้องของผม ออกทะเลมาตั้งแต่เด็ก ช่ำชองในทุกๆ เรื่องกลางทะเล แกเคยอยู่เรือใหญ่หาปลาในเขตน่านน้ำประเทศมาเลเซีย แม้จะเสี่ยงแต่แกเคยบอกว่ามันจำเป็นต้องทำ ตำรวจท้องถิ่นที่นั่นไม่เรื่องมาก มีเงินปั่นส่วนให้สักหน่อย เราก็ลงมือวางอวนได้เสรี..แต่พี่เสือก็จำต้องลาออกจากงานนั้น เพราะไม่กินเส้นกับไต๋เรือจอมเจ้าเล่ห์ ทุกวันนี้เลยกลับมาออกทะเลร่วมกับพ่อ
ฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มเฉิดฉายด้วยแสงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาเต็มดวง กลางผืนฟ้าเริ่มมองเห็นปุยเมฆสีขาวแซมด้วยสีคล้ำจางจนถึงดำสนิท พี่เสือบอกเราอาจเจอฝนในช่วงสายๆ แต่คงไม่นาน ลมบันดาหยาซึ่งพัดพากลุ่มเมฆฝนจากทางใต้เพิ่งผ่านไปเมื่อสามสี่ค่ำก่อน คงไม่หนักมากพอให้เราได้แล่นเรือสะดวก พี่หนูยังนอนซมอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ขณะที่พี่เสือลุกจากที่นั่งไปประจำตรงหัวเรือ.. พ่อยังคงยืนถือท้ายเรืออยู่เช่นเดิม แต่เร่งความเร็วของเรือเพิ่มขึ้น เบื้องหลังที่เราเพิ่งผ่านมาเริ่มเห็นแผ่นดินจางๆกับผืนน้ำทะเล ข้างหน้าแลไกลสุดตาเห็นหมู่เกาะเรียงรายอยู่ห่างๆ กับม่านหมอกจางๆ ที่ค่อยๆ เลือนหายไปกับแสงแดดที่เจิดจ้าขึ้น เรือของเราแล่นฝ่าน่านน้ำขึ้นลงตามเกลียวคลื่น สายลมอุ่นๆ กระทบผิวให้รู้สึกสดชื่น..
เบื้องหน้าแลเห็นเพียงเส้นขอบฟ้าที่เสมือนจุดสุดท้ายของสายตาที่สามารถมองเห็น ฟากฟ้าฝั่งตะวันวันตกเห็นปุยเมฆขาวก่อตัวบดบังสีครามของผืนฟ้า แลลงมาตรงน่านน้ำสีมรกตเห็นเพียงเกลียวคลื่นกับฟองน้ำขาวๆ ใสๆ..แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องน่านน้ำก่อประกายระยิบระยับชวนมอง เสมือนกองเพชรนิลจินดาที่ถูกโปรยหว่านไว้กระจัดกระจายเหนือน่านน้ำ..
พี่หนูพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนสองสามทีก่อนลุกขึ้นเก็บผ้าห่มไว้ในมุมด้านใน “เป็นไงถึงไม่นอน.. ยังอีกไกลหรอก ไม่ต้องตื่นเต้น เรายังต้องแล่นเรือไปอีกสักพักแหล่ะ” แกยิ้มบางๆ ก่อนจับบ่าผมซึ่งนั่งกอดเข่าอยู่เดินโค้งหลังงอตามความเตี้ยของเพดานเก๋งออกไปท้ายเรือ หยิบกระติกน้ำร้อนเทลงแก้วชงกาแฟดำ การชงเป็นไปอย่างทุลักทุเลตามแรงคลื่นที่กระทบเรือ ก่อนถือแก้วกาแฟเดินไปนั่งใกล้พี่เสือ.. พ่อหันมาทักทายผมโดยเสยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก “หิวหรือยัง” คำพูดแรกที่ออกจากพ่อตั้งแต่แล่นเรือออกจากท่า ผมส่ายหน้าเบาๆ ส่งยิ้มคืนให้ พ่อชี้ให้ดูเกาะแก่งที่เรียงรายสลับใกล้ไกล และบอกชื่อทั้งที่มาคร่าวๆ
แสงแดดเจิดจ้าในยามสายสาดส่องน่านน้ำกระทบเข้านัยน์ตาจนปวดแสบ หมู่เมฆก่อตัวเปลี่ยนรูปหลากหลาย นกนางแอ่นหลายตัวบินว่อนเล่นลมอยู่หลายจุด บางตัวพุ่งลงมาตรงผิวน้ำฉกปลาเล็กๆ ขึ้นทะยานฟ้าก่อนบินหายไปกับสายลม ปลาบางชนิดกระโจนเล่นเหนือผิวน้ำก่อนมุดหายกลับใต้ผืนทะเล แลไปไกลๆ นอกเรือทั้งซ้ายและขวาเห็นธงอวนลอยปักสลับสีแดง ขาว อยู่รำไร เรือประมงสี่ห้าลำลอยเด่นอยู่ห่างๆ ..ฟากฟ้าทั้งผืนแลดูสดใส..
......
แสงแดดยามเที่ยงไม่ได้เจิดจ้าอย่างที่ควรเป็น แสงของมันเริ่มเจือจาง พ่อเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าหลายหน เร่งความเร็วของเรือฝ่าเกลียวคลื่นที่สูงขึ้น ฟ้าฝั่งตะวันตกเริ่มมีเมฆจับกลุ่มก้อนหนาสีคล้ำไปจนถึงดำสนิท มองไกลๆ ไปเหนือน่านน้ำเบื้องหน้าเห็นสีเขียวคล้ำก่อตัวลบความใสกระจ่างของสีมรกตแห่งผืนน้ำอยู่รำไร มันคือแรงลมที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนเกิดห่าฝนโปรยปรายลงน่านน้ำ พี่เสือและพี่หนูหวนกลับเข้าสู่เก๋งเรืออีกครั้ง พ่อยังยืนคุมหางเสือเช่นเดิม ลมกรรโชกแรงขึ้นก่อคลื่นสูงใหญ่ สายฝนโปรยลงกระทบหลังคาเก๋งเรือส่งเสียงสนั่น พ่อเร่งความเร็วแหวกเกลียวคลื่นสูงใหญ่ที่ผลักเราให้สูงขึ้นก่อนกระโจนลงเพื่อรับแรงกระแทกจากคลื่นอีกหลายๆ ลูกนับครั้งไม่ถ้วน ฝนห่าใหญ่โปรยลงมาเหมือนท้องฟ้ารั่ว พ่อยืนคุมหางเสือตายังมองไกลไปเบื้องหน้า แม้ฝนเม็ดใหญ่จะถาโถมลงมา เสื้อผ้าของพ่อเปียกปอนแต่ยังสะบัดพลิ้วไหวตามแรงลม ฝนโปรยลงมาจนรอบๆ ลำเรือเห็นแต่ความพร่ามัว เสียงห่าฝนสนั่นสยบแม้เสียงเครื่องเรือที่ถูกเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ห่าฝนยังคงโปรยปรายไม่หยุดหย่อน พ่อยังคงแล่นเรือเดินหน้าทั้งร่างกายที่เปียกปอน น้ำฝนชโลมใบหน้าที่เคยเกรียมแดดไหลลงเป็นทางตามร่องเว้าของใบหน้า สายลมพัดสะบัดปลายเสื้อของพ่อให้พลิ้วไหว กระดุมเสื้อบางเม็ดหลุดออกจากรัง เผยรูปร่างกำยำที่เปียกโชกไปทั้งตัว พ่อหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนเร่งฝีเรือแหวกเกลียวคลื่นและลมฝนสู่เบื้องหน้า..
สักพักใหญ่ลมและฝนถึงค่อยๆ ซาลง.. พ่อชะลอความเร็วของเรือให้อยู่ในระดับปกติ เกลียวคลื่นเบาบางลง รอบๆ ลำเรือเริ่มมองเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ใสมรกตเช่นเดิม พ่อเรียกพี่เสือมาจับท้ายเรือ ก่อนเดินโค้งตัวเข้ามาในเก๋งฉวยผ้าขาวม้าซับหน้าที่เปียกโชก “เป็นไง สนุกไหม” พ่อทักทายด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว ก่อนบอกให้พี่หนูเตรียมร่างอวน พ่อชี้แนะให้พี่เสือเบี่ยงเบนเส้นทางเรือเลียบเกาะ เราจะวางอวนบริเวณนั้น ตกค่ำเราจะไปอาบน้ำอาบท่า ทานข้าว และอาจลอยลำนอนพักกันแถวนั้น..
พี่เสือชะลอความเร็วเรือเพ่งสายตาไปรอบๆ ดูกระแสน้ำและทิศทางลม พ่อและพี่หนูเริ่มต้นคลี่ร่างอวนออกไปยืนอยู่หัวเรือ ร่างอวนค่อยๆ ถูกหย่อนลงผืนน้ำจมหายไป โดยมีพ่อและพี่หนูค่อยๆ จับ และปล่อยออกไปที่ละนิดๆ ตามความเหมาะสม.. พี่เสือเดินเรือค่อยๆ ฝ่ากระแสน้ำลากร่างอวน.. ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างใส หมู่เมฆทะมึนลอยหายสู่ฟ้าฝั่งตะวันออก สายลมเริ่มเบาบางแต่ยังจับต้องกายให้หนาวสั่น..
..........
แสงแดดเจิดจ้าพอที่จะแผดเผาผิวหนังให้แห้งเกรียม.. ผมใส่เสื้อแขนยาวทับเสื้อยืดอีกชั้นแม้อากาศจะอบอ้าว บวกกับกลิ่นอายทะเลที่ชวนสำรอก.. ลมนิ่งลงกว่าเดิม แม้น้ำในทะเลจะไหลเชี่ยวกรากตามทิศทางของมัน ฟ้าฝั่งตะวันออกที่จากมาเริ่มมีกลุ่มเมฆก่อตัวเห็นเป็นสีควันบุหรี่ ฝั่งตะวันตกยังคงมัวหม่น แม้อาทิตย์จะเคลื่อนย้ายเลยเที่ยงมาตั้งนาน ทะเลดูสงบ เรากำลังลอยลำอยู่ไม่ห่างจากเกาะสักเท่าไหร่ ทั้งพ่อและพี่ๆ ทั้งสองกำลังสาละวนอยู่กับการปลดปูปลาออกจากร่างอวน ขณะผมได้ช่วยเกลี่ยน้ำแข็งในลังเมื่อใส่ปลาตัวโตๆลงไป..
เสร็จจากปลดปลาออกจากร่างอวน พี่เสือดึงสมอเรือขึ้นจากน้ำ ขณะพ่อหมุนจักรเครื่องเรือให้ติดอีกครั้ง ก่อนแหวกคลื่นเบาๆ ตรงไปยังชายหาดของเกาะ พ่อบอกเราจะไปหาน้ำอาบ และหุงหาอาหารกันที่นั่น เกาะเล็กๆ หาดทรายขาวกลางผืนน้ำ..
เราผลัดกันออกไปอาบน้ำล้างตัว ขณะพี่หนูกำลังสาละวนอยู่กับการปรุงอาหาร พ่อบอกแกงส้มปลากระบอกสดๆ กินกันในเรือยามเย็นมันวิเศษที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มผักลงไป แกงเอาง่ายๆ ที่สำคัญคือเนื้อปลามันสดๆ แน่น และหวาน.. พี่หนูดูช่ำชองในเรื่องการปรุง แม้เครื่องปรุงที่เรามีนอกจากเครื่องแกงที่แม่โคลกมาให้จากบ้านแล้วคือเกลือเพียงอย่างเดียว แต่กลิ่นเย้ายวนที่วนเวียนฟุ้งกระจายอยู่รอบบริเวณนั้นมันกระตุ้นให้น้ำลายสอ.. ปูม้าสดๆ เจ็ดแปดตัวถูกหย่อนลงหม้อไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีส้มสด พ่อบอกเราไม่ต้องมีน้ำจิ้มหรอก ปูสดๆ จากทะเลเนื้อแน่นๆ อย่างนี้กินกับข้าวก็วิเศษสุดแล้ว..
พี่เสือขนไม้ฟืนจากป่าละเมาะบนเกาะมากองไว้ก่อไฟไล่ยุง ขณะพ่อล้างร่างอวนเตรียมลงงานอีกครั้งในย่ำรุ่งของวันพรุ่ง..
บนชายหาดใต้ร่มสนฝั่งตะวันตกของเกาะ.. ฟ้ายามเย็นเริ่มมัวหม่นเห็นเมฆสีคล้ำรวมกลุ่มค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปฝั่งตะวันออก สายลมจากกลางทะเลพัดโชยเข้าหาฝั่งของเกาะเบาๆ ให้เรือของเราโครงเครงขึ้นลง ตามแรงผลักของคลื่น ฝูงริ้นไรเริ่มตอมและกัดจนแสบคันไปตามแขนขา อาทิตย์จวนอัสดง เห็นฟากฟ้าสีน้ำเงินกับหมู่เมฆถูกทาบทาด้วยแสงสีชมพูจางๆ เสียงหรีดเรไรกังวานสนั่นเกาะ ไฟในกองถูกสุมให้โหมแรงขึ้นส่งควันโขมงลอยขึ้นกลางอากาศ พ่อปูเสื่อนอนยืดแข้งยืดขาสบายอยู่บนลายทราย ขณะพี่หนูกับพี่เสือยังคงนั่งจิบกาแฟมวนยาเส้นสูบปล่อยควันฟุ้งกระจาย น่านน้ำฝั่งตะวันตกเห็นเป็นสีคล้ำกว้างไกล สุดสายตาเห็นเส้นขอบฟ้าที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนลงเรื่อยๆ แปรเปลี่ยนแสงซึ่งทาบทาอยู่บนผิวก้อนเมฆให้สลับสีอ่อนๆ งามๆ อยู่น่าชวนชม เหนือน่านน้ำสีคล้ำบริเวณตรงกลางถูกสาดด้วยแสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ก่อนอัสดงเห็นเป็นสีทองอ่อนโยน.. มันผันแปรอยู่เรื่อยๆ ค่อยๆ เจือจางลง จนเมื่อผืนทะเลอมอาทิตย์ลงทั้งดวง ผืนฟ้าจึงค่อยๆ มืดลง.. ราตรีกาลมาเยือนอย่างน่าพิศวง..
ผืนฟ้าดำสนิทหรอก.. ดวงดาวถึงประกายแสงระยิบระยับอยู่เต็มฟ้า แสงของมันอ่อนโยนจนน่าหลงใหล แม้ดวงจันทร์จะยังหลบอยู่อีกฟากฟ้าหลังเกาะ แต่แสงอ่อนๆ ของมันก็ยังสาดส่องให้น่านฟ้าฝั่งตะวันตกเจือจางอยู่บ้าง ดาวนับล้านประกายแสงเต็มฟ้า แม้บางส่วนถูกบดบังอยู่บ้างจากกลุ่มเมฆเล็กๆ ที่เคลื่อนย้ายอยู่เสมอ.. ลมทะเลพัดพาอณูอบอุ่นกลางน่านน้ำผ่านเข้ามาสัมผัสผิวหน้า กลิ่นทะเลมันอบอวนอยู่ในโพรงจมูก คลื่นซัดชายฝั่งเบาๆ เห็นปูลมวิ่งไปมาอยู่กระจัดกระจาย เสียงหรีดเรไรก้องกังวานกว่ายามเย็นแต่ไม่สามารถกลบเสียงคลื่นลมที่ยังคงซัดชายฝั่งเบาๆ อยู่สม่ำเสมอ พ่อและพี่ๆ ทั้งสองคนหลับปุ๋ยอยู่ใกล้ๆ กองไฟซึ่งยังโหมแรงพอขับไล่พวกริ้นไรให้ออกห่าง..
ดาวนับล้านเหนือฟากฟ้ายังคงยั่วยวนให้ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับใหลลงได้ แสงของมันอ่อนโยน ระยิบระยับ พร่างพราย อำไพ... ผมเอนกายบนลานทรายฝันถึงวันพรุ่ง...
...................
อากาศใกล้รุ่งหนาวเหน็บจนขนลุกชูชัน แสงจากดวงจันทร์ปลายฟ้าฝั่งตะวันตกสาดส่องมาเบาๆ ให้เห็นอยู่รางๆ ขณะดวงดาวซึ่งเคยประกายแสงระยิบระยับอยู่ในช่วงค่ำหายไป น้ำเริ่มลดแล้ว พี่เสือและพี่หนูเก็บข้าวของขนกลับลงเรืออย่างรีบเร่ง พ่อลากเรือเข้าหาฝั่งให้เราขนของลง แม้ยังจำต้องลุยน้ำลงไปพอประมาณ.. เรือถูกลากให้ลงไปอีกสักพักจนถึงจุดที่ลึกพอให้สามารถแล่นได้ พ่อก็หมุนเครื่องเรือเร่งเสียงคำรามก้อง.. พ่อเงยดูฟ้าอีกครั้งก่อนเร่งฝีเรือแล่นฝ่าเกลียวคลื่นไปทางทิศเหนือ.. ฟ้าฟากนั้นดูกระจ่างใส แม้ดวงตะวันอาจยังหลับใหลอยู่ในภวังค์ของค่ำคืน..
ผืนฟ้ามัวหม่นฝั่งตะวันออกเริ่มถูกโลมเลียด้วยแสงสีส้มอ่อนๆ อีกครา ตรงเส้นตัดระหว่างผืนน้ำทะเลและขอบฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มเห็นแสงจางๆ ส่องสาดขึ้นน่านฟ้าที่มีหมู่เมฆจับตัว แสงสีส้มอมขาวจางๆ ทาบทาผืนเมฆกลืนกินสีคล้ำให้จางหาย เหนือน่านน้ำเห็นเพียงหมอกหนาบดบังผืนภาพแห่งชีวิตเบื้องหลัง ลมหนาวพัดผ่านผิวหน้าเย็นเข้าถึงกระดูก เรือแล่นในอัตราความเร็วคงที่ แสงเจือจางจากฝั่งตะวันออกพอให้แลเห็นรอบๆ อยู่จางๆ
สักพักหรอก ฟ้าเกือบทั้งผืนถึงได้สว่างจนเกือบจ้า เมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากน่านน้ำเพียงครึ่งดวง แสงของมันส่องสาดน่านฟ้าที่เคยมืดสนิทให้สว่างไสว ม่านหมอกเหนือน่านน้ำจางหายไปกับพลังแสงที่เจิดจ้า นกทะเลหลายตัวโผบินอย่างเบิกบานอยู่เหนือน่านน้ำ มันบินเล่นลมไปมา บางตัวเล็งสายตาเพ่งมองลงสู่เบื้องล่างจับจ้องปลาบางตัวที่เผลอเวียนว่ายผิวน้ำ สายลมค่อยๆ โชยพัดผ่าน เกลียวคลื่นทะเลโอบอุ้มลำเรือไว้อย่างหยาบๆ เรามิอาจคาดการได้ถึงความปรวนแปรแห่งน่านน้ำ แม้ท้องฟ้าเบื้องบนจะกระจ่างใส เห็นเมฆขาวจับกลุ่มค่อยๆ เคลื่อนไหวอยู่ทางใต้ เรือของเราแล่นฝ่ากระแสคลื่นลมสู่เบื้องหน้า ณ จุด ใดจุดหนึ่ง กลางผืนทะเลกว้างใหญ่.....
.............................................
พฤศจิกายน 2553, ณ เรือนศิลป์กะรักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น