วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น คำปรารถนา


แม่พยายามทำความเข้าใจกับชีวิตทั้งๆ ชีวิตของลูก.. ทุกอย่างมันพร่ามัว มันเหมือนหมอกเมฆหนาซึ่งบดบังแสงสว่างอันเจิดจ้าของดวงตะวัน.. แม่พยายามมองลูกด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความห่วงใย ลูกน่าจะเผยให้แม่กระจ่างกว่านี้ กับเส้นทางที่ลูกรัก..เส้นทางที่ลูกทุ่มเทกับมัน เส้นทางที่ดีแต่จะผลักไสให้ลูกต้องห่างแม่ออกไป..

แม่มีลูกผู้ชายคนเดียว.. ซึ่งนั่นหมายถึง ความคาดหวังของครอบครัว.. ความคาดหวังที่จะเห็นลูกเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นที่พึ่งพิงของน้องๆ และเป็นผู้ที่สามารถดูแลตัวเองได้ดีกว่านี้.. และลูกก็ควรเป็นเช่นนั้น
ไม่มีแม่คนไหนหรอกที่จะปล่อยให้ลูกต้องทนลำบาก หรือทนเจ็บช้ำกับบาดแผลแห่งชีวิต.. แต่ลูกก็ยังคงดื้อดึง แม้กับพ่อและแม่ที่เฝ้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์.. ลูกน่าจะโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เป็นผู้ที่รู้ถูกผิด และใช้ชีวิตให้เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป เติบโตมากับการตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเล่าเรียนจนจบ และทำงานมีเงินใช้ทั้งเก็บออมเพื่ออนาคต ลูกน่าจะเป็นอย่างนั้น.. อย่างที่คนอื่นๆ เขาเป็นกัน..
แม่พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เหลือเก็บส่งลูกเรียนเหมือนอย่างคนอื่นๆ ให้ลูกมีอยู่มีกิน และเป็นที่พึ่งพิงให้กับน้องๆ รวมทั้งพ่อและแม่.. แต่สิ่งที่ลูกเป็น มันเหมือนสวนทางกับความตั้งใจของแม่และพ่อ..

ลูกตั้งใจเล่าเรียนจนจบ.. แม่ภูมิใจกับสิ่งนั้น แต่ผลสุดท้ายมันไม่ได้เป็นอย่างที่แม่ปรารถนา ลูกเริ่มไว้ผมยาว ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปกับสิ่งรอบกาย และเพื่อนๆ ที่ลูกรัก ลูกมัวแต่เร่ร่อนเดินทางอยู่เสมอ ไม่เคยอยู่ติดกับที่ และไม่เคยติดต่อกลับทางบ้านเลย..
ลูกปฏิเสธที่จะสมัครหางานใดๆ แม้พ่อและแม่หรือญาติพี่น้องจะยื่นข้อเสนอเท่าใด ลูกก็ยังยืนยันที่จะทำในสิ่งที่ลูกรัก..และแม่ก็ไม่เคยรู้จักและเข้าใจมันเลยสิ้นดี..

ลูกอยากเป็นนักเขียน.. แม่ไม่เข้าใจเลย ว่าอาชีพนี้จะดีกับลูกยังไง หรือแม้แต่อาชีพที่ว่านี้ แม่ก็ไม่เคยได้ยินถึงกิติศักดิ์ของมันเลย แม่ไม่รู้เลยว่าคนเป็นนักเขียนคืออะไร มีบทบาทอย่างไรต่อสังคม และพวกเขาอยู่กันที่ไหน ทำอะไรอย่างไร เหล่านี้มันไม่เคยเข้ามาในความเข้าใจของแม่เลย จนบัดนี้สิ่งที่แม่เห็นเมื่อเจอลูกคือ บุคลิกของลูกที่เปลี่ยนไป ผมเผ้ารึงรัง หน้าตาดำคล้ำเหมือนคนทำนามาตั้งแต่เด็ก ลูกสวมเสื้อผ้าเก่าๆ บางครั้งถึงขาด.. แม่ไม่เห็นความเป็นบัณฑิตในตัวลูกแม้แต่น้อย แม่เห็นเพียงคนมอมแมมคนหนึ่งซึ่งเหมือนอย่างกับไม่มีหัวนอนปลายเท้า..แม่ไม่เข้าใจลูกเลย..

สมัยเด็กลูกเคยเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าใคร ลูกเรียนได้ผลการเรียนที่ดีเสมอ แม่ไม่เคยเป็นห่วงเรื่องการเรียนของลูกเลย ถือว่าลูกมีความสามารถพอที่จะพาตัวเองรอด.. ลูกดื้อ ถึงดื้อมากทีเดียว ที่กัดฟันอดทนใช้ชีวิตเช่นนี้ เช่นบุคคลที่ถูกสังคมมองต่างออกไปจากคนหนุ่มคนอื่นๆ.. แม่กล้าพูดเช่นนี้ เพราะทั้งหมู่บ้านเขาก็พูดกัน แม่ได้ยินได้ฟังมาบ่อย หลายๆ คนบอกว่าลูกดูซอมโซ ไม่มีชีวิตชีวา เหมือนคนติดยา หรือคนเก็บขยะข้างถนน.. หลายคนแนะนำให้แม่ตักเตือนลูกด้วยวิธีต่างๆ นานา..จะให้แม่ทำอย่างไรได้.. ลูกดื้อเหลือเกิน

ลูกหายไปทีละหลายๆ เดือน แม่ไม่เคยรู้ชะตาของลูก และลูกก็ไม่เคยเลยแม้จะติดต่อกลับบ้าน แม่ได้แต่รอ..รอ..รอด้วยความหวัง ความหวังที่จะเห็นลูกกลับมา..กลับมาเป็นอย่างที่พ่อและแม่ตั้งใจ..
แต่ลูกก็ยังดื้อ.. เมื่อลูกกลับมาทุกครั้งเรามีโอกาสได้พูดคุยกัน.. มันไม่เคยจบด้วยบรรยากาศดีๆ ทุกๆ ครั้งหากลูกไม่ลุกขึ้นเดินหายไปจากโต๊ะอาหาร ทุกคนในบ้านที่ร่วมโต๊ะอาหารก็จะต้องเผชิญกับความเงียบจนกว่าใครบางคนจะลุกขึ้นจากโต๊ะไป..มันเป็นเช่นนี้เสมอ
แม่เหนื่อย.. เหนื่อยที่ต้องคอยพูดคอยจาอย่างนั้นกับลูก..แม่อยากให้ลูกใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ มีการมีงานที่มั่นคงกว่านี้ กว่าการต้องมัวแต่ระเหเร่ร่อน กับการต้องอยู่กับสภาพร่างกายที่ซอมซอ หรือเหมือนอย่างกับคนข้างถนนอย่างไรอย่างนั้น..ลูกน่าจะฟังแม่สักนิด เชื่อแม่สักครั้ง แม่รู้จักลูกดี..

แม่เคยส่งลูกเรียนโรงเรียนประจำ สามปีเต็มที่ลูกอาศัยอยู่กับเพื่อน เรียน และห่างจากบ้าน แม่ไม่เคยรู้ถึงชะตาของลูก รู้แค่เพียงว่า เมื่อสิ้นเดือนจำต้องส่งเงินให้ลูก แม้ไม่เคยเลยที่จะได้รับทราบข่าวสารใดๆ จากลูก แต่แม่ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารออยู่เสมอ ลูกเคยแวะเวียนมาบ้านบ้าง บอกเล่าคร่าวๆ ถึงความเป็นไปที่โรงเรียน ลูกเลือกเรียนสายอาชีพ แม่ไม่รู้เพราะสาเหตุใด แต่สิ่งที่ลูกเคยเล่าให้แม่ฟัง มันแสดงออกถึงความตั้งใจที่ลูกมีให้กับการเรียน
เวลาสามปีมันนานมากสำหรับการเฝ้ารอ แม่นับวันเวลาอยู่เสมอ จนเมื่อครบกำหนด แม่ยังจำได้ดี.. วันนั้นลูกกลับมาพร้อมสัมภาระบางส่วน แม่ดีใจที่เห็นลูก แม่หวังที่จะได้ยินการบอกเล่าถึงความสำเร็จ แต่สิ่งที่พาลูกกลับบ้านวันนั้นมันหาใช่เหตุผลเพราะลูกจบการศึกษา ลูกกลับมากับชุดเสื้อยืด – กางเกงยีนส์ มันไม่ใช่ชุดนักศึกษา.. ลูกบอกแม่ว่าจะขอลาออกโดยไม่ทิ้งเหตุผลใดๆ ให้แม่ได้ทำความเข้าใจเลย ลูกแค่บอกว่ามันไม่ใช่แนวทางของลูก สิ่งที่เขาเล่าเรียนกันที่นั่นมันไม่เหมาะกับลูกเลย..
แม่ไม่เข้าใจจริงๆ ลูกอยู่กับมันตั้งสามปีเต็ม.. แต่แม่ก็ต้องยินยอมที่จะตามใจลูก..

จนเมื่อลูกกลับมาอยู่บ้าน ช่วยงานพ่อในไร่.. ลูกเหมือนๆ จะทำได้ทุกอย่าง แต่แม่ไม่เห็นความเป็นชาวไร่ในตัวลูกเลย ลูกนอนดึกตื่นสายทุกวัน ซึ่งนั่นไม่ใช่ลักษณะของชาวไร่ชาวสวน ลูกบอกอยากมาเป็นชาวไร่ที่บ้าน แม่ก็ยินดี แต่สิ่งที่ลูกทำอยู่มันยังไม่ใช่ ทุกๆ วันแม่ต้องคอยกระตุ้นให้ลูกจับโน่นถือนี่ ลูกก็รับผิดชอบได้ดีทีเดียว ลูกจับจอบเป็น ใช้พร้าได้ ปลูกพืชผักได้.. แต่อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ แม่ไม่ได้แลเห็นความเป็นชาวไร่ในตัวลูกเลย ใจของลูกมันไม่เข้มแข็งพอสำหรับอาชีพนี้..
ลูกจึงกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน.. และแม่ก็เล็งเห็นตั้งนานแล้วว่ามันก็ยังไม่ใช่แนวทางที่ลูกควรจะเป็น ลูกเป็นคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังฝัน.. ลูกยังไม่รู้จักความเป็นจริงหรอก.. ลูกแค่ฝันเห็นตัวเองอยู่ในคราบของชาวไร่ ผู้กำจอบ กำพร้า ปลูกพืชผักเลี้ยงตัว..แต่ลึกๆ แล้ว มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นหรอก แม่จึงไม่รู้สึกแปลกเลย หากสี่เดือนให้หลังที่ลูกมาลาแม่อีกครั้ง..

ลูกบอก “พอหาที่ทางได้แล้ว จะไปอยู่ในเมืองสักระยะหาอะไรทำ”..แม่ได้ยินเพียงแค่นี้ เราไม่ได้คุยกันเลย ก่อนหน้าที่ลูกจะสะพายเป้มาหา แล้วบอกลา ลูกไม่รอแม้เพียงจะได้รับฟังความคิดเห็นของแม่ ลูกย่ำเดินออกจากบ้านไป..ห่างออกไป และหายไปจนแม่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวเลย..

จนสามปีผ่านไปหรอกลูกถึงกลับมาบ้าน แม่ตกใจกับสภาพที่ลูกเป็น ผมของลูกหยิกยาวจนเลยบ่า ผิวของลูกกรำแดด ลูกกลับมาพร้อมเป้ลูกใหม่ที่บรรจุสัมภาระมากมาย ทุกอย่างที่ลูกพาติดมือมาล้วนเป็นสิ่งที่แม่คาดไม่ถึงว่ามันจะมีความหมายอะไรกับอนาคตของลูก ลูกหอบเอาเครื่องพิมพ์ดีดกลับมาพร้อมเอกสารเยอะแยะมากมาย แม่ไม่รู้ว่าพิมพ์ดีดเครื่องนี้จะช่วยอะไรลูกได้ หรือลูกมีมันไว้เพื่อเหตุผลใด ทั้งๆ ที่แม่ก็รู้อยู่หรอกว่าการใช้เครื่องพิมพ์ดีดมันล้าหลังไปแล้ว เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องมืออื่นๆ ที่ทันสมัยและรวดเร็วกว่า ลูกบอกแค่ว่ามันจำเป็นที่ต้องหัดใช้ เพราะลูกจะเป็นนักเขียน..
แม่ยิ้มจางๆ หลังนั่งฟังเรื่องราวมากมายในรอบสามปีที่ลูกหายไป ก่อนจะแยกย้ายกลับเข้านอน แม่นอนไม่หลับแม้จะมีพ่อคอยปลอบโยน..แม่ร่ำไห้ทั้งคืนกับเรื่องราวของลูก ลูกเผชิญอะไรมามากมายกว่าที่แม่เคยนึกคิด การเดินทางมันผลักดันให้ลูกโตขึ้นเยอะ แม่ร้องไห้คืนนั้นด้วยความภูมิใจ..ภูมิใจที่ลูกกลับมา..

ลูกบอกอยากเรียนต่อ.. แม่ดีใจที่ลูกเลือกเช่นนี้ เราไปร้านตัดผมด้วยกัน ลูกตัดผมสั้นจนแม่เห็นลูกคนเดิม ลูกเหมือนๆ จะมีความตั้งใจสูงยิ่งที่พาตัวเองกลับมาเริ่มต้นเรียนในครั้งนี้ พ่อกับแม่คุยกันหลายๆ รอบ เพื่อหาทางเตรียมตัวที่จะส่งลูกเรียนต่อ..
จนลูกได้เรียนในมหาวิทยาลัย..เวลาสี่ปีเต็มลูกตั้งหน้าเล่าเรียน..แม่ได้รับทราบข่าวสารลูกอยู่เสมอ ลูกดูเปลี่ยนไป ลูกติดต่อกลับหาแม่บ่อยขึ้น บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ นานา เกี่ยวกับการเรียน ลูกกลับมาบ้านบ้างในบางครั้ง ทุกครั้งแม่เห็นรอยยิ้มที่ร่าเริงของลูก แม้ลึกๆ แล้ว ทุกอย่างที่ได้ฟังจากปากของลูกมันจะยังเป็นเรื่องราวเช่นเดิมอยู่ก็ตามที.. ลูกยังไม่ทิ้งความฝันที่จะเขียนหนังสือ..
ลูกบอกว่าการกลับมาเรียนครั้งนี้มันช่วยให้การฝึกการเขียนของลูกดีขึ้น.. แม่งงกับความเป็นไปที่เกิดขึ้น แม่เคยคิดว่าลูกกลับมาเรียนเพราะคิดได้ว่าวันหนึ่งลูกต้องมีการมีงานทำและมีครอบครัว.. แต่มันยังไม่ตรงกับความนึกคิดของแม่สักที..
ลูกยังคงคิดถึงแต่เรื่องการเขียนหนังสือ และผมของลูกก็เริ่มยาวขึ้นอีกครั้ง แม้จะอยู่ในชุดนักศึกษา แต่ลูกก็ยังคงรักษาผมไว้จนยาวประบ่า.. หรือลูกมีความคาดหวังเช่นอื่น..แม่ไม่เข้าใจเลย..

จนถึงวันที่ลูกสำเร็จการศึกษา ลูกตัดผมสั้นอีกครั้ง แม่ภูมิใจเหลือเกินที่เห็นลูกในชุดของบัญฑิต ลูกดูสุภาพ และแน่วแน่.. แม่ฝันเห็นเบื้องหน้าของชีวิตลูกและยิ้มให้กับมัน เรากลับบ้านกันมาด้วยรอยยิ้มและความรู้สึกภูมิใจในตัวลูก..พ่อและน้องสาวของลูกก็คงเห็นเช่นนั้น..

ชีวิตของลูกไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่แม่คิดไว้จริงๆ แม้ลูกกลับมาอยู่บ้านหลังเรียนจบได้ระยะหนึ่ง แม่ไม่เคยเห็นลูกคิด หรือกระตือรือร้นที่จะเสาะหางานทำแต่อย่างใด..ลูกใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือกองใหญ่ของลูก ลูกอ่านมันเสียมากมาย อ่านจนไม่เหลือแม้เวลาที่เราจะได้คุยกันลึกๆ ระหว่างคนในครอบครัว ลูกเริ่มมีเพื่อนต่างแดนแวะเวียนมาเยี่ยมถึงบ้าน ทุกคนล้วนมีลักษณะคล้ายกับลูก คือหากไม่มีผมยาวเลยบ่า ก็จะเป็นคนที่ติดหนังสือ หรือพูดจามีหลักการณ์ เพื่อนๆ ของลูกนิสัยดีกันทุกคน แม่ต้อนรับพวกเขาเช่นเดียวกับลูกของแม่.. หลังจากนั้นไม่นานลูกก็ลาแม่อีกครั้ง พร้อมเป้ เครื่องพิมพ์ดีด และกองหนังสือของลูก..ทิ้งคำถามไว้ให้แม่มากมาย..
ลูกหายไปนาน นานมาก..

สามปีหลังจากนั้นหรอก.. แม่และพ่อถึงได้รู้ว่าลูกอยู่ไหนและทำอะไรอยู่.. ลูกกลับมาบ้านพร้อมเรื่องเล่ามากมาย ลูกเล่าด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ หลายๆ เรื่องราวมันบอกแม่ว่า ลูกได้มันมาด้วยหยาดเหงื่อและการมุ่งมั่น ลูกเล่าถึงการเป็นอยู่ของชาวบ้านในถิ่นชนบท ชาวประมง และป่า.. ลูกไปใช้ชีวิตผูกพันอยู่ที่นั่นตลอดสามปีเต็ม รู้จักผู้คนมากมาย ดูมีความสุขกับสิ่งที่เป็น แม่เห็นได้จากแววตาและน้ำเสียงที่เปร่งออกมา..

ลูกพาแม่และพ่อไปดูที่นั่น เรานั่งรถกันหลายชั่วโมง ลูกดูตื่นเต้นตลอดการเดินทาง ในขณะที่แม่และพ่อยิ้มบางๆ ด้วยภายในที่ก่อปริศนามากมาย จนเรามาถึงที่บ้านของลูก.. บ้านของลูก?.. แม่พิศวงกับสิ่งที่เกิดขึ้น.. ลูกเรียกอย่างเต็มปากเต็มคำด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิ เหมือนลูกผูกพันกับที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ลูกดูคุ้นเคยกับคนรอบข้างที่นี่ ช่ำชองกับหลายๆ อย่างที่เขาทำกันที่นี่
บ้านของลูก?.. แม่เห็นเพียงเพิงหลังหนึ่งที่ยื่นออกมาในลำคลอง มันถูกสร้างขึ้นมาง่ายๆ ริมฝั่งแม่น้ำซึ่งทอดยาวออกสู่ทะเล จากระเบียงหลังบ้านแลออกไปเห็นเพียงลำน้ำและผืนป่าโกงกางที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ในบ้านถูกจัดวางข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นอย่างเรียบง่าย ห้องทำงานของลูกอยู่ริมหน้าต่าง เมื่อมองออกไปเห็นท้องฟ้า ลำน้ำและผืนป่า.. ชั้นเอกสาร หนังสือ และอีกมากมายสารพัดอย่างจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ.. มันคือบ้านของลูก?..
ชุมชนของลูก?.. ลูกพาเราแวะเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่นี่ ลูกดูจะผูกพันกับคนที่นี่เสมือนญาติพี่น้อง ลูกทักทายทุกคนอย่างสนิท ในขณะที่ทุกคนก็หยิบยื่นไมตรีจิตให้แม่และพ่อ คนที่นี่ส่วนใหญ่คือชาวประมงและชาวไร่ พวกเขามีหน้าตาที่กรำแดดและรูปร่างที่กำยำ ใบหน้าที่ซ่อนเรื่องราวช้ำชอกมากมายอยู่ภายใน แม่พยายามมองเข้าไปนัยย์ดวงตาซึ่งฉายแววอ่อนล้าของพวกเขา.. ทุกคนมีน้ำใจ และโอบรับลูกไว้ประหนึ่งญาติพี่น้อง.. แม่รู้สึกถึงน้ำในเบ้าตาที่ไหลเอ่อโดยไม่มีสาเหตุ แม่คาดเดาไม่ได้ถึงความรู้สึกเบื้องลึกของตัวเองขณะย่ำเดินอยู่เคียงข้างลูก..

งานของลูก?.. ลูกเขียนหนังสือ..เพื่ออะไร? แม่กลับออกมาจากบ้านของลูกด้วยคำถามมากมายก่ายกองทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วแม่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูก.. ลูกเจอตัวเอง อยู่กับสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้างได้อย่างกลมกลืน.. ลูกใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่าย กับพื้นที่และผู้คนที่ทั้งเขาและลูกต่างมีความปรารถนาดีต่อกัน..
...................

ชีวิตลูกไกลเกินแม่คาดเดา แม่เพียงรู้ถึงความเป็นตัวตนของลูกในฐานะของผู้ให้กำเนิดและผู้มอบอิสระให้กับลูกที่จะโบยบิน เบื้องหน้าของชีวิตมันย่อมขึ้นอยู่กับลูก หากลูกยืนยันที่จะเขียนหนังสือ.. ลูกก็จำต้องตรากตรำที่จะฟันฝ่าขวากหนามแห่งชีวิต.. หากมันคือหนทางที่ลูกเลือก ลูกก็ย่อมต้องรู้ถึงความสุขและคุณค่าที่ได้รับ แม่มิอาจหยัดยืนขวางกั้นลูกในฐานะของหนึ่งขวากหนามที่กีดกั้นทางเดิน.. เมื่อลูกปรารถนาที่จะเป็นคนเขียนหนังสือ..อักษรและเรื่องราวที่ลูกจารึกลงไปบนแผ่นกระดาษก็ต้องย่อมทรงคุณค่าพอที่จะคงอยู่ แม่ปรารถนาเพียงแค่ให้ลูกประสบสุข และสรรค์สร้างสิ่งที่ดีสู่สังคม..

..................................................................................

ธันวาคม 2553, เรือนศิลป์กะรักษ์

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2554 เวลา 06:42

    น่าสงลาร...แม่....T^T""" ผมรักแม่มากที่สุด...^^"""

    ตอบลบ