วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น วันหนึ่งของชีวิตหนึ่ง


สรรพเสียงข้างห้องมันกวนประสาทสิ้นดี.. ป้าแก่ๆ ปากจัด พ่วงหลานอีกสอง วัยเจ็ดถึงแปดขวบไล่เลี่ยกัน ผลัดกันโดนด่า หลังถูกปลุกให้ตื่นแต่งตัวไปโรงเรียน แต่ยังงัวเงีย เลยโดนคุณป้าผู้หวังดีด่ายกโคตรยกตระกูลแต่เช้า ขณะป้าแกคงสาละวนเตรียมของออกตระเวนขาย.. หลังห้องเสียงเรือโดยสารแหวกคลื่นทะมึนของคลองแสนแสบดั่งสนั่นหวั่นไหว.. กรรมกรก่อสร้างตึกแถวใกล้ๆ เริ่มลุยงานกันแต่เช้า มันทั้งเคาะ ทั้งเจาะ ทั้งตอก ปนเปกระหึ่มบ้าน อีกทั้งเสียงจ้อแจ้ของสามีภรรยาที่หยอกเย้าไม่ยอมลุกจากเตียง ส่งเสียงผ่านผนังห้องมาเข้าสองรูหูเขาชัดเจน.. เขาพลอยตื่นกับเสียงพวกนี้แต่เช้าทุกวัน..

ในห้องนอนโกโรโกโสกับฟูกสีชมพูจืดๆ ถูกปูไว้หยาบๆ มีหมอนสีแดงอ่อนๆ สองใบวางเคียงกัน ตุ๊กตาหมีก่อนเคยสีน้ำตาลสดเดี๋ยวนี้แลดูจืดๆ ไร้ชีวิตชีวา.. เขาลืมตาขึ้นผลักผ้าห่มไว้ปลายเท้าหันดูรอบๆ ห้อง.. ก่อนลุกขึ้นพาร่างกายซอมโซมายืนอยู่ตรงหน้าต่างมองออกไปข้างนอก..
ม่านหมอกซึ่งปกคลุมผืนฟ้าเริ่มจางหายหลังจากแสงอันแรงกล้าของดวงอาทิตย์สาดส่อง เสียงรถราขวักไขว่อยู่บนท้องถนน แม้แต่เสียงมันโกลาหลสิ้นดี เขาพยายามเพ่งเล็งไปตรงทางเท้าซึ่งตัดเข้ามาในซอย เห็นคนเร่ขายผลไม้และขนมสดสามสี่จ้าวหาบสินค้าของตัวเองเดินทุลักทุเลมา เด็กๆ สามสี่คนสะพายกระเป๋าเดินออกไปจากซอย..
เขาหวนกลับเข้ามาในห้องตัวเอง เพ่งดูทีวีจอยี่สิบสี่นิ้ววางอยู่ปลายฟูกนอน มันวางอยู่บนโต๊ะไม้ซึ่งเขาต่อขึ้นเอง แล้วปูด้วยผ้าสีชมพูซึ่งตอนนี้แลดูจืดชืด แผ่นซีดีหนังทั้งเพลงและเกมหลายแผ่นถูกวางซ้อนกันหยาบๆ มันเหลือแต่แผ่น ขณะเครื่องเล่นซีดีถูกยกออกไปจากห้องพร้อมใครบางคน.. แจกันจีนดอกไม้พลาสติกบนทีวี มันเคยดูสดชื่นเสมือนดอกจริง สีเหลือง ชมพู และขาว บัดนี้ถูกฝุ่นเกาะเกรอะกรัง.. กระติกน้ำร้อนสภาพพอใช้วางถัดไปจากโต๊ะทีวี มันถูกใช้อย่างทารุณ เห็นได้จากซองกาแฟที่เกลื่อนกราดอยู่ใกล้ๆ ถัดไปเป็นกระป๋องบรรจุขี้บุหรี่และก้น มันอัดแน่นจนบางก้นตกหล่นอยู่บนพื้นผิวหินขัดของห้อง..
ฝั่งเดียวกับส่วนที่เขาวางหัวหลับนอนทุกค่ำคืนคือตู้เสื้อผ้า..ตู้เก่าๆ ซึ่งไม่ได้บรรจุสิ่งใดมากไปกว่าไม้แขวนกว่ายี่สิบอันแขวนไว้เฉยๆ ขณะที่เสื้อผ้าเกือบทั้งหมดที่เขามีซ้อนกันอยู่ในตะกร้าผ้าสีเขียวจางๆ ใกล้ๆ.. ในลิ้นชักของตู้ถูกปิดมานาน เขาเกือบลืมที่จะเปิดดูมันสักครั้ง..ของบางอย่างอยู่ในนั้น..เขาอาจเก็บมันไปทิ้งเสียให้หมด ดีกว่าที่จะเก็บไว้เปลืองพื้นที่เปล่าๆ เขาอาจใช้เป็นที่เก็บเสื้อผ้าบางชิ้น ของสำคัญ หรืออย่างอื่น..ที่ไม่ใช่สิ่งนั้น..
ประตูห้องน้ำติดมู่ลี่ร้อยเปลือกหอยกับเศษปะการัง เขาได้มาจากภูเก็ตเมื่อปลายปีก่อน วันหยุดครั้งนั้นนำพาให้เขาออกไปเที่ยวทะเล ไปกันหลายคน กับเพื่อน กับใครบางคนซึ่งเสนอที่จะซื้อมู่ลี่ชิ้นนี้ มันยังติดอยู่ที่นี่พอให้ได้กลิ่นอายทะเลบ้าง เพราะเขาชอบทะเล และใครบางคนก็คงชอบ..เขาสนุกเหลือล้นกับการได้สัมผัสทะเลในครั้งนั้น เขาไม่มีวันลืมคลื่นลม แสงแดด หาดทรายขาว และน้ำใสๆ เขาจะไปอีกรอบ..เขาหวังที่จะไปเหยียบที่นั่นอีกสักรอบ..สักวันหนึ่งหรอก..
เขาย้ายจากมุมหน้าต่างเข้ามาตรงตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าขนหนูมาผลัดกางเกงนอนออก.. เขาคิดที่จะอาบน้ำ แต่ก็เอื้อมมือไปเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน..เขาเกิดอยากดื่มกาแฟก่อนสักถ้วย แกล้มด้วยบุหรี่ เขาหันหลังให้ประตูห้องน้ำเดินกลับไปมุมหน้าต่าง กระชับผ้าขนหนูใหม่อีกครั้ง เขาเหลือบไปเห็นซองบุหรี่กับไฟเช็คซึ่งวางอยู่ใกล้ฟูกนอน รู้สึกอยากไปหยิบมาจุดสูบ แต่เขาเลือกที่จะรอน้ำเดือด ชงกาแฟ จิบทีแรก แล้วค่อยลงมือจุด เขาชอบรสชาติเช่นนี้มากกว่า..
น้ำเดือดแล้ว..เขาพลันหยิบถ้วยมาตักกาแฟเทลงสองช้อน กับน้ำตาลอีกสองช้อน คนอย่างพอเหมาะ สูดกลิ่นอายกาแฟเข้ารูจมูก เขารู้สึกถึงความสดชื่น ยกถ้วยกาแฟมายืนยังจุดเดิม เขาลืมหยิบบุหรี่มาด้วย..เลยหันกลับไปตอกออกมามวนหนึ่ง หยิบเข้าปาก จุดไฟสูดควันเข้าปอดพืดหนึ่ง ก่อนปล่อยออกมาค่อยๆ ฟุ้งกระจายอยู่ในห้อง.. เขาหยิบทั้งกาแฟและบุหรี่กลับมายังจุดเดิม รู้สึกสดชื่นขึ้น สายตาเพ่งมองออกไปข้างนอกอีกรอบ..
ฟ้ายามสายเจิดจ้า แลเห็นหมู่เมฆจางๆ จับกลุ่มอยู่ปลายขอบฟ้าสลับกับยอดตึกสูงตระหง่านเรียงราย.. เขาสูดควันเข้าปอดอีกรอบ ปล่อยควันพวยพุ่งออกนอกหน้าต่าง.. เขาเหลือบไปเห็นพรูด่างในขวดแก้วแขวนอยู่นอกหน้าต่าง ใบของมันสีเขียวอมเหลืองจางๆ เหมือนๆ จะเหี่ยว น้ำในขวดออกเหลืองๆ ข้นๆ เหลืออยู่ก้นขวด เขาน่าจะหยิบมันมาปัดฝุ่น เปลี่ยนน้ำเสียใหม่บ้าง..เขาละสายตาจากต้นพรูด่างหันกลับเข้ามาในห้องอีกรอบ กางเกงยีนตัวที่ใส่ประจำถูกพาดไว้เหนือพัดลมตั้งพื้น ปลายขาของมันขาดยู่ยี่ ถัดไปเป็นรองเท้าผ้าใบที่เคยเป็นสีขาว บัดนี้เห็นแต่รอยเปื้อนโคลนและคราบดำๆ ที่ติดมาจากท้องถนน..
เขาเดินไปหยิบรองเท้ามาโยนลงบนพื้นในห้องน้ำ เขี่ยขี้บุหรี่ลงพื้น และสูดควันเข้ามาอีกรอบก่อนโยนลงโถส้วม เขาควานหาแปรงถูผ้าหลังประตูห้องน้ำมาวางใกล้ๆ รองเท้า กะจะซักรองเท้าให้ดูใหม่เอี่ยมสักที.. เขาเปิดก๊อกน้ำเหนืออ่างล้างหน้า น้ำพุ่งลงอ่างแรงจนเขาตกใจ เขารีบปิดมันเสียทันควัน ก่อนเดินจากห้องออกมาหาดูถุงใส่ผงซักฟอก.. มันเหลือแต่ถุงเปล่า เขาสบถห้วนๆ ออกมาก่อนขว้างถุงผงซักฟอกลงถังซึ่งบรรจุไปด้วยถุงพลาสติก กระป๋องเบียร์ ซองบุหรี่ กล่องโฟม.. ขยะมันเต็มอยู่หลายวันแล้ว เขาลืมที่จะหยิบลงไปทิ้ง..
เขาวกกลับมาตรงมุมหน้าต่าง ตามองออกไปข้างนอก นึกถึงใครบางคน.. เขาอมยิ้มบางๆ ขณะนึกไปถึงครั้งแรกที่พบเจอใครคนหนึ่ง.. วันเวลามันหมุนเร็วฉิบ ความรู้สึกดีๆ จางหาย.. เขาเหม่อมองฟ้า.. ผืนฟ้าสีน้ำเงินถูกบดบังด้วยหมู่เมฆจางๆ เขาพยายามมองกลุ่มเมฆที่มาจับตัวรวมกันให้เป็นรูปร่าง มันเคลื่อนไหวเชื่องช้า.. เขาละสายตาเดินกลับเข้ามาในห้อง หันมองดูทีวี เขาไม่อยากลุกขึ้นไปเปิด จึงนอนหันตัวมาอีกด้าน โต๊ะเตี้ยๆ สำหรับนั่งพื้นวางอยู่ตรงหน้า บนโต๊ะมีชามสองใบวางซ้อนอยู่ เขาเพิ่งใช้มันใส่ข้าวผัดกินเมื่อคืน แต่ยังไม่ได้ล้าง เขากะตื่นขึ้นมาล้าง แต่กะจะอาบน้ำไปพร้อมๆ กัน เขาเบี่ยงสายตาไปเหนือฟูกนอน รูปถ่ายเขากับใครบางคนยังคงติดอยู่ เขายังจำได้ดี เขากับใครคนนั้นถ่ายเป็นที่ระลึกร่วมกันตอนกลับไปเยี่ยมบ้าน.. เขายิ้ม แต่รู้สึกอยากดึงมันออกเสีย..
เขาหลับตาเอามือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดถึงเพื่อน ถึงบ้าน พ่อ แม่ และพี่สาว.. เสียงหัวเราะของหลายๆ คนโผล่เข้ามาในห้วงคำนึง..เขาลุกขึ้นมานั่ง สะบัดหัวสามสี่ที.. รู้สึกปวดหัว ยกมือมาจับขมับตัวเอง บีบนวดแบบง่ายๆ สามสี่ที เขาสะบัดหัวอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นมากระโดดสามสี่ที เขาสะบัดปลายขาทีละข้าง ก่อนเดินไปเปิดดูตู้เสื้อผ้า เขามองหาของบางอย่าง..

อากาศในห้องเริ่มร้อน เพราะแดดข้างนอกเจิดจ้า เขาหยิบกางเกงโยนไปฝั่งตะกร้าผ้าซ้อนทับตัวอื่นๆ เปิดพัดลมเบอร์สาม ให้สาดเข้าถึงตัวอย่างจังๆ เขารู้สึกดีขึ้น สักพักจึงลุกขึ้นเดินออกไปตรงหน้าต่างอีกรอบ กาแฟที่ชงไว้ตั้งแต่เช้ายังค่อนถ้วย เขาหยิบมันมาจิบดูอีกรอบ แม้จะเย็นลงแล้ว แต่ก็ยังเป็นกาแฟ เขารู้สึกอยากสูบบุหรี่อีกครั้ง จึงเดินกลับไปหยิบซองพร้อมไฟเช็คกลับมายืนที่เดิม ปากคาบบุหรี่จุด หืดเข้าเต็มปอด ปล่อยควันฟุ้งออกนอกหน้าต่าง เขาเอนไหล่พิงขอบหน้าต่าง ทำใจให้ผ่อนคลายลง มองออกไปนอกหน้าต่าง คิดถึงใครบางคนอีกครั้ง..
เธอเพิ่งจะจากไป.. เขายังจำได้ดีถึงวันนั้น วันที่ใครบางคนเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า และของใช้อีกบางส่วนผลักประตูเดินออกจากห้องไป เขาภาวนาให้คนๆ นั้นหวนกลับมาเสมอ แต่ก็ไม่เคยเห็นแม้เงา เขารู้สึกผิดที่ไม่อาจรั้งใครคนนั้นให้อยู่ต่อ.. หากเขาพยายามอีกนิด ใครคนนั้นคงเห็นใจบ้าง อย่างน้อยก็อาจทนอยู่อีกสักพักร่วมกัน แม้จำต้องสู้ทน เขาจะให้คำสัญญาที่จะสู้อีกสักครั้ง ให้ฝันเป็นจริง.. ฝันที่เคยมีร่วมกัน ใครคนนั้นหวังไว้อย่างยิ่งให้เขาได้มีงานทำ มีเงินเก็บ ไว้ซื้อบ้าน ไว้ซื้อรถ ไว้เที่ยว.. เช่นนี้ใครคนนั้นคงเห็นใจขึ้นมาบ้าง..

เขาเรียนจบมาเกือบสองปีแล้ว.. พร้อมกับใครบางคนซึ่งเคยอยู่ที่นี่ร่วมกันตั้งแต่สมัยเรียน เขายังไม่มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอัน ขณะที่ใครบางคนเป็นพนักงานประจำของบริษัทแห่งหนึ่ง.. เขาเคยมีความสุขกับใครคนนั้นมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ร่วมกัน ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม.. ใครคนนั้นพอใจที่จะอยู่เคียงข้างเขา เราเหมือนๆ ว่าจะรักกันมาก ตราบจนวันหนึ่ง..
วันที่ใครบางคนโดนไล่ออกจากงาน เพราะเข้างานสายบ่อย ใครคนนั้นเดินน้ำตาคลอเบ้ากลับมาหาเขา โวยวายลั่นห้อง เรื่องราวและหลายๆ อย่างออกมาจากใจที่เหมือนโดนกดทับ เขางุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เรารักกัน..

เขาสะบัดหัวอีกครั้งก่อนหันกลับเข้ามาในห้อง เขี่ยขี้บุหรี่ออกนอกหน้าต่าง แล้วเดินกลับเข้ามาวนเวียนอยู่ภายในห้อง เขาเดินตรงไปยังกระป๋องเขี่ยบุหรี่ ควานหาส่วนที่สามารถยัดก้นบุหรี่ลงได้ เขาเสียบมันเบียดก้นมวนอื่นๆ ที่เกือบๆ หล่นพ้นออกนอกขอบกระป๋อง ก้นบุหรี่ถูกเสียบไว้ส่วนปลายพับยับยู่ยี่ เห็นควันลอยบางๆ เหนือกระป๋องโชยกลิ่นชวนสำรอก เขาเดินหนีกลิ่นควันนั้น ผลักประตูห้องน้ำตรงไปยังอ่างล้างหน้า เพ่งหน้ามองกระจก ตรวจดูใบหน้าตัวเองอยู่สักพัก มือลูบปลายคางซึ่งมีขนปริ่มๆ บางๆ เขาเอียงหน้าตรวจดูแต่ละด้าน..

เขาเพ่งกระจกอยู่นานเหมือนมองหาอะไรสักอย่างบนผิวหน้าตัวเอง.. ก่อนเปิดก๊อกน้ำเบาๆ สาดน้ำเข้ามาลูบไล้ใบหน้า.. รู้สึกสดชื่นขึ้น.. เขาเดินออกจากห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูอีกผืนมาเช็ดหน้า มันไม่ใช่ของเขา ใครบางคนเคยใช้มันเช็ดผมหลังอาบน้ำ เขายังจดจำกลิ่นจางๆ ของแชมพูยี่ห้อที่ใครบางคนชอบได้.. เขานำมันไปพาดไว้ตรงขอบหน้าต่าง ชะโงกดูภายนอก เห็นผู้คนมากมายจอแจกันอยู่กลางซอย สายตรวจสองคนขับมอเตอร์ไซเข้ามาสอดส่องความเรียบร้อย ขณะกลุ่มคนสามสี่คนตรงร้านอาหารกำลังสุมหัวถกเถียงเรื่องราวบางเรื่อง.. แดดจ้าเสียจนปวดแสบผิวหนัง คลื่นน้ำในคลองแสนแสบมันม้วนตัวซัดฝั่งอยู่โครมๆ ขณะเรือโดยสารแล่นผ่าน.. เขาพยายามมองไปตรงท่าเรือ.. หลายคนยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้ารอโดยสารเรือ ไปยังที่ใดที่หนึ่ง.. หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกัน หล่อนหน้าตาดี ผมยาวสยาย สวมกระโปรงยีนสั้นเลยเข่าขึ้นมาพอเหมาะ รองเท้าส้นสูงทำให้หล่อนสูงและดูดีทีเดียว เสื้อยืดรัดแน่นจนคะเนได้ถึงขนาดของหน้าอก ที่แขนข้างซ้ายสะพายกระเป๋าสีม่วงอมดำ.. เขาเพ่งมองหล่อนอยู่สักพักใหญ่ ก่อนเรือโดยสารจะแหวกคลื่นทะมึนมาพรากสายตาเขาไป.. เขาวกกลับเข้าภายในห้องอีกครั้ง ตาควานหาบุหรี่แล้วหยิบมาจุดใหม่อีกมวน เขาหืดควันเบาๆ..

ตะวันเลยเที่ยงมาชั่วครู่ เขาเริ่มหิว.. ตาชำเลืองหากระเป๋าใส่เงิน เขาเดินไปหยิบกางเกงยีนที่วางอยู่บนตะกร้า ล้วงกระเป๋าหลังด้านขวา ควักกระเป๋าใส่เงินออกมาเปิดดู ธนบัตรใบละร้อยสามใบ กับใบยี่สิบอีกจำนวนหนึ่งเรียงอยู่อย่างเรียบร้อย เขาพับกระเป๋าเก็บ ถอดผ้าขนหนูออก สวมกางเกงและรัดเข็มขัด.. เขาเลือกเสื้อจากตะกร้าบางตัวที่มีกลิ่นบางๆ เขาได้เสื่อยืดตัวสีแดง เพิ่งใส่ไปครั้งเดียวเมื่อวาน กลิ่นยังไม่ฉุนมากนัก ยังพอสวมใส่ได้
เขาผลักประตูย่ำเท้าลงบันได เขาไม่เห็นใครอยู่ชั้นล่างของตึก ประตูเปิดอยู่.. เขาย่ำเท้าเดินไปตรงกลางซอย ร้านอาหารประจำของเขาอยู่ตรงนั้น..

ริมถนนในซอย..ผู้คนเดินไปมาวกวน มอเตอร์ไซวิ่งช้าๆ หลีกหลุมบนถนน ร้านค้าหลายร้านเปิดบริการลูกค้าอย่างเช่นวันวาร เขาชำเลืองสายตามองปรากฏการณ์รอบๆ แบบผ่านๆ เข้าไปนั่งตรงโต๊ะมุมในสุด พอเห็นความเคลื่อนไหวภายนอกร้านอยู่บ้าง แต่เหมือนไม่ได้สนใจเสียสักเท่าไหร่ เขาเรียกป้าเจ้าของร้านมาสั่งอาหาร “ผัดกะเพาไข่เยี่ยวม้าราดข้าว” แม่ค้าตอบรับแล้วทักทายตามประสา ก่อนวกกลับไปหยิบน้ำมาเสริฟ.. เขานั่งรออาหารเรื่อยๆ สายตาเพ่งมองออกนอกร้าน.. อากาศยามบ่ายร้อนอบอ้าว เขาจิบน้ำเบาๆ ก่อนเอื้อมไปหยิบหนังสือพิมพ์มาเปิดดู เขาเปิดไปทีละแผ่น พยายามมองดูภาพประกอบ และอ่านข้อความหลักๆ ในแต่ละแผ่น หยุดอ่านบางเรื่องที่น่าสนใจ..
ข้าวราดกะเพาไข่เยี่ยวม้าถูกหยิบมาวางไว้ตรงหน้า เขาหยิบน้ำมาจิบเบาๆ อีกครั้ง ก่อนเอื้อมไปหยิบช้อนและซ้อมมาตักข้าวกิน.. นั่งกินไปพลางสายตายังจดจ่ออยู่ตรงหน้าหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ใกล้จานข้าว เขาอมยิ้มกับข่าวบางเรื่องที่ชวนขำ..

เสร็จเรื่องกิน เขาควักกระเป๋าจ่ายเงินให้ป้า ก่อนย่ำเท้าออกจากร้าน เขาเหลียวมองออกไปต้นซอย เห็นรถราขวักไขว่อยู่บนถนนใหญ่ เขาคิดอยากเดินออกไปข้างนอก อาจไปห้างสรรพสินค้า รู้สึกอยากซื้อของบางอย่าง อยากเจอเพื่อน อยากเดินดูห้าง..อยากโทรหาใครคนหนึ่ง คนที่ชอบชวนเขาเดินห้าง.. เราเคยไปกันบ่อยในวันที่ใครคนนั้นว่างจากงาน เราเดินชมของ ซื้อบางอย่างที่จำเป็น หรือเข้าโรงหนังบ้างในบางครั้ง..
เขาละสายตาหันกลับไปท้ายซอย ก่อนย่ำเท้าเดินกลับไปห้อง..

......

เขาหลับไปนาน.. ตั้งแต่เข้ากลับมาในห้องหลังทานข้าว ภายในห้องมืด ตรงหน้าต่างหรอกที่พอมีแสงสว่างจากไฟตรงถนนสาดเข้ามาบางๆ เขายังไม่ได้ผลัดกางเกงยีนออก ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน พยายามลำดับเหตุการณ์หลังกลับเข้ามาที่ห้อง รู้สึกงัวเงียนึกอะไรไม่ออก.. สะบัดหัวสองสามทีก่อนลุกขึ้น ดึงกางเกงยีนออก มันรู้สึกคับสิ้นดี เขาพยายามดึงออกให้พ้นน่อง ผ้ายีนมันเสียดผิวหนังรู้สึกระคาย เขานั่งลงยืดปลายขาดึงออกทีละข้าง มันลำบากสิ้นดี กว่าจะหลุดออกมาได้ เขาโยนไปไว้ตรงมุมที่วางพัดลมตั้งพื้น กระเป๋าเงินหลุดร่วงอยู่ใกล้เคียง..
เขาเดินไปเปิดไฟห้อง..แล้วหยิบผ้าขนหนูมานุ่ง กระชับขึ้นมาพ้นสะดือ ถอดเสื้อยืดออก โยนทับเสื้อตัวอื่นๆ บนตะกร้า เขาตรงไปเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน กะดื่มกาแฟสักถ้วยก่อนอาบน้ำ เขาผลักประตูห้องน้ำเข้าไปยืนตรงอ่างล้างหน้า..สำรวจผิวหน้า มองเข้าไปนัยน์ดวงตา หยุดนิ่งครู่หนึ่ง คิดถึงบางคน คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว คิดถึงงาน คิดถึงทะเล..หลายๆ อย่างในความนึกคิดพุ่งชนเขา.. เขาสะดุ้ง.. เปิดก๊อกสาดน้ำล้างหน้า และสะบัดหัวสามสี่ที รู้สึกสดชื่น เดินออกจากห้องน้ำหยิบผ้ามาซับหน้า เขาเดินตรงไปยังหน้าต่าง.. มองออกไปข้างนอก..
ฟ้าทั้งผืนพร่ามัว แสงสีขาวอ่อนๆ จางๆ จากทั่วสารทิศสาดขึ้นเหนือน่านฟ้าโลมเลียความมืด..เขาไม่เห็นเดือน ไม่เห็นดาวที่น่าจะกระจ่างฟ้าในค่ำคืนเช่นนี้..เขานึกไปถึงคืนวันที่เคยอยู่บ้านที่ชนบท เขาชอบนั่งที่ระเบียงหลังบ้าน เพ่งมองดวงดาว..
น้ำในคลองแสนแสบ เหมือนๆ จะนิ่ง หากยังมีคลื่นเล็กๆ ซัดสาดตลิ่งคอนกรีตอยู่สม่ำเสมอ ไม่มีเรือโดยสารแล่นผ่าน เขาหันไปอีกด้านมองออกไปต้นซอย ผู้คนยังขวักไขว่ย่ำเดินไปมา แต่น้อยกว่าช่วงกลางวัน เขานึกอะไรเพลินๆ..
น้ำเดือดแล้ว.. เขาไปชงกาแฟกลับมายังมุมหน้าต่าง สูดดมกลิ่นควันที่โชยอยู่เหนือถ้วยกาแฟ..เขาจิบมันเบาๆ รู้สึกถึงรสชาติกาแฟ ยิ้มบางๆ ก่อนเอื้อมมือไปคว้าบุหรี่มาจุดสูบ หืดควันเข้าปอดช้าๆ ปล่อยควันออกเป็นช่วงๆ เหนืออากาศ รู้สึกผ่อนคลาย..

เขาแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นแต่ความพร่ามัวที่ทาบทาความมืด.. เขาเพ่งมองท้องฟ้า ขณะใจเกิดปริศนาก่ายกอง ค่อยๆ คิด..คิดถึงบางอย่าง.. บางอย่างในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า มันยังอยู่ในนั้น เขาน่าจะเก็บมันไปทิ้งเสียให้หมด หลังจากใครบางคนบอกว่าเขาควรอยู่กับมันเสียดีกว่ามัวทำให้ใครคนนั้นลำบากใจ เขาควรเลือกเสียสักอย่างในชีวิต ใครคนนั้นจากเขาไปเพราะสิ่งนี้เช่นกัน ไม่ใช่แค่เรื่องตกงาน หรือเหตุผลอื่นๆ ทุกอย่างมันคงหลอมรวมกันเป็นความหนักหน่วงในห้วงจิตใจของเธอ.. เขารู้สึกผิด สำนึกกับเรื่องราวที่เพิ่งจะผ่านไปเป็นอดีต.. เขาคิดถึงใครคนนั้น นัยน์ตาเริ่มมีน้ำใสๆ คลอเบ้า.. เขาก้มหน้าลงยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง หืดควันบุหรี่เบาๆ ปล่อยควันจางๆ ลอยออกไปนอกหน้าต่าง..
เขาเอนหลังพิงผนังห้อง ขบคิดถึงอดีต เขาเหมือนจะร่ำไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก เขายกถ้วยกาแฟขึ้นซดจนหมด..หืดควันบุหรี่อีกครั้งก่อนดีดก้นออกไปนอกหน้าต่าง..เขาวางถ้วยกาแฟกลับเข้าที่ เดินตรงไปผลักประตูห้องน้ำ เขาจะอาบน้ำ..

เสร็จจากออาบน้ำจึงรู้สึกสดชื่นขึ้น เขาวนเวียนอยู่ตรงหน้าต่างและตู้เสื้อผ้าอยู่สี่ห้ารอบก่อนพาตัวเองมานั่งบนฟูกนอน เอื้อมมือไปเปิดพัดลม ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ยกเข่าทั้งสองข้างมากอด เขาเอนหลังพิงผนัง เงยหน้าขึ้นมองเพดาน ครุ่นคิด..
เขาเหมือนได้สติ..ลุกขึ้นบิดเอวซ้ายขวา ก่อนเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักออกสำรวจ..ทุกอย่างยังอยู่ครบครัน เขาหันหน้าสำรวจรอบๆ ห้องอีกครั้ง หยิบสมุดเล่มหนึ่งในลิ้นชักออกมาพร้อมมีดพกขนาดเล็ก เขานำมันมาวางไว้ใกล้ฟูกนอน กลับไปยังลิ้นชักเพื่อควานหาของบางอย่าง เขาเก็บมันไว้ในรางไม้ขีดไฟ หยิบมันขึ้นมาเดินกลับไปตรงฟูกนอน ตาชำเลืองหาบุหรี่ เขาเห็นมันวางอยู่บนขอบหน้าต่างจึงลุกไปหยิบมา..
เขาเปิดรางไม้ขีดไฟออกมาหยิบของบางอย่างซึ่งห่อไว้อย่างดีด้วยพลาสติก เขาคลี่มันออกเบาๆ ฉีกบางส่วนแยกออกจากก้อนใหญ่ เขาวางมันลงบนปกสมุด หันไปหยิบบุหรี่มาฉีกส่วนปลายออกให้ยาเส้นทะลักออกมากองรวมอยู่กับของบางอย่าง เขาใช้มีดซอยยาเส้นกับสิ่งนั้นเบาๆ อย่างละเอียดจนแยกสองสิ่งไม่ออก เขาซอยมันเรื่อยๆ .. สักพักจึงหยุด หยิบมันขึ้นมาดู..
เขาหันซ้ายหันขวามองหาของบางอย่าง ก่อนลุกขึ้นกลับไปตรงลิ้นชัก เปิดมันออก หยิบกระป๋องน้ำซึ่งถูกเจาะรูไว้กลางกระป๋อง สวมกระบอกไม้ท่อนเล็กๆขนาดนิ้วก้อย มีรูผ่าน ตรงปลายบานออกให้พอยัดของบางอย่างลงไปได้ ที่โคนของมันถูกดินเหนียวพอกไว้แน่นกับขวดพลาสติก เขายกมันขึ้นสำรวจรอบๆ ก่อนพาเข้ามาในห้องน้ำ เขาเปิดก๊อกน้ำเบาๆ กรอกเข้ากระป๋องพอประมาณ เขายกมันขึ้นดูอีกครั้งสำรวจรอยรั่ว ไม่เห็นแม้สักจุดเดียว เขาพอใจกับมัน เสยยิ้มบางๆ เขาเลื่อนปากกระป๋องมาจ่อตรงปากของตัวเอง ดูดลมเข้า รู้สึกว่าน้ำในกระป๋องมากเกินไปจึงเทออกนิดหน่อย ลองดูดอีกครั้ง เห็นว่าเหมาะเจาะจึงเดินกลับมานั่งตรงฟูก
เขาลุกขึ้นไปตรงขอบหน้าต่าง สำรวจภายนอก กลับมาเปิดพัดลมเบอร์สามเป่าออกไปยังหน้าต่าง ก่อนวกกลับมาตรงฟูกนอน เขานั่งยองๆ หยิบกระป๋องยกขึ้นมาอัดของบางอย่างที่ถูกซอยไว้อย่างดียัดเข้าใส่ตรงปลายกระบอกไม้ท่อนเล็กที่บานตรงปลาย ใส่มันพอเหมาะไม่ให้แน่นจนเกินไป เขาเอื้อมมือไปหยิบไฟเช็คมา จ่อปากกระป่องเข้ามาตรงริมฝีปาก เขาจุดไฟจ่อไว้ตรงส่วนที่เพิ่งยัดของบางอย่างลงไป ดูดควันจากปากกระป่องเข้าร่างกาย เสียงไฟไหม้ยาเส้นและของบางอย่างดังขึ้นพร้อมกับเสียงน้ำในกระป๋องที่เต้นรัวเหมือนโดนเขย่า เขาดูดจนของบางอย่างที่ถูกยัดไว้โดนไฟเผาเกลี้ยง .. วางกระป๋องไว้ใกล้ปลายเท้า ปล่อยควันโขมงสู่อากาศ ให้พวยพุ่งแหวกน่านอากาศอบอ้าวภายในห้อง น้ำในตาคลอเบ้า เขาก้มหน้าลงเช็ดปาก ส่ายหน้าไปมาสามสี่ที เขายัดรอบใหม่อีกครั้งเหมือนเดิม ดูดเข้าไปอีกสองสามครั้ง ปล่อยควันโขมง สักพักจึงถูกแรงพัดลมไล่ออกภายนอกหน้าต่าง..
เขารู้สึกผ่อนคลาย เลื่อนอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ตรงมุมใกล้ตู้เสื้อผ้า เขาลุกขึ้นมาหันพัดลมกลับเข้าที่เช่นเดิม สำรวจภายนอกหน้าต่าง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ตรงกลางผืนฟ้าเมฆหนาสีดำอมเทากระจายอยู่ทั่ว เขาเห็นเสี้ยวจันทร์อยู่รำไร.. เขารู้สึกดีกับผืนฟ้าคืนนี้ วกกลับมาตรงฟูก เขาเสยยิ้มบางๆ กับสายลมซึ่งโชยเข้ามาภายในห้อง กลิ่นอายแห่งน่านน้ำแสนแสบแฝงมากับสายลม เขาสูดกลิ่นมันเบาๆ นึกถึงเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเหนือน่านน้ำคลองแสนแสบ..
ภายนอกยังคงเสียงจอแจของผู้คนบนถนนบางส่วน รถราในเมืองกรุงยังคงโกลาหล เขาหลับตานึกถึงรอยยิ้มของผู้คนบนถนน รอยยิ้มของวณิพกซึ่งลำนำชีวิตทรหดอยู่บนทางเท้า รอยยิ้มของตำรวจซึ่งมุ่งมั่นขยันทำงานและ ของใครอีกหลายๆ คนที่เดินสวนทางกัน.. เสียงป้าข้างบ้านยังคงทำอะไรบางอย่าง ส่งเสียงดังอยู่เรื่อยๆ หายไปสักระยะ ก็จะได้ยินขึ้นมาอีกครั้ง เรื่อยๆ.. เขาพยายามนึกไปถึงที่มาของเสียง ป้าคงกุลีกุจอกับการเตรียมของไว้วันพรุ่ง เขาเสยยิ้มจางๆ ภูมิใจในความขยันหมั่นเพียรของป้า เขาคิดถึงเสียงเด็กน้อยสองคนหลานคุณป้า ทั้งสองคงสนุกน่าดูกับกิจกรรมที่โรงเรียน กลับมาหมดเรี่ยวแรง ป่านนี้คงหลับปุ๋ย..
เขาลืมตาขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง จากจุดที่เขาอยู่พอให้แลเห็นพระจันทร์อยู่บางส่วน แม้เมฆหนาจะพร่ามัว ลมจากภายนอกโชยเข้ามาภายในห้องให้ผ้าขนหนูที่เขาตากไว้สะบัดไหวเบาๆ เขาเหลือบไปมองมันอยู่นานจนลืมสังเกตว่าดวงจันทร์เพิ่งโผล่ออกมาจากหมู่เมฆ เขาหันกลับมามองพระจันทร์เสี้ยว แสงของมันอ่อนโยน นุ่มนวล เขายกมือทั้งสองข้างมารองศีรษะ ยกขาข้างขวาขึ้นก่ายเข่าด้านซ้าย กระดิกปลายเท้าเบาๆ พอเป็นจังหวะ..
เขาส่งยิ้มทักทายพระจันทร์.....
....................................................................

ธันวาคม 2553
เรือนศิลป์กะรักษ์

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คลองโต๊ะเหลม







ลำน้ำเย็น ไหลนิ่ง สีมรกต
สายเคี้ยวคด รกหนา ป่าโกงกาง
ที่ริมฝั่ง หญ้าทะเล แทรกบางบาง
ปูอวดก้าม ปลาแหวกว่าย สายธารา

ฟองน้ำขาว วาววับ จับดวงตา
ลำนาวา เกลียวคลื่น ซัดชายฝั่ง
พังกาน้อย แตกกิ่งก้าน ใบสะพรั่ง
ยึดชายฝั่ง เพาะพลัง คลังชีวา

เรือหัวโทง คนแจว เลียบแนวไพร
สุขฤทัย เพลินไพร ใจหวงแหน
เคารพป่า รักษ์น้ำ ไม่ขาดแคลน
ธำรงแก่น สรรพสิ่ง ให้สมดุล

เขตน้ำขึ้น น้ำลง ตรงชายฝั่ง
พันธุ์ไม้แสม ซีหงำ ตะบูนดำ
รากยึดดิน กรองเศษไม้ กันตลิ่งพัง
เสมือนดั่ง กำแพง ป้องผืนดิน

เขตดินดอน เลนปน เนื้อดินทราย
พืชพันธุ์หลาย เกื้อกูล บำรุงผล
พันธุ์ไม้บก งอกงาม เอื้อชุมชน
สร้างสายใย พืชผล คน – น้ำ – ป่า

คนเคารพ คุณน้ำ คุณผืนป่า
วิถีพึ่งพา ป่าอยู่ คนสุขี
ป่าเอื้อคน เอื้อสิงสา เอื้อวารี
เอื้อชีวี คงวิถี นิเวศน์ธรรม

อินทรา
ภาพถ่ายโดย เมย์,กะทิิิ

วันเวลาหมุนวน

หากจะเห็นสายรุ้งที่ทอดโค้งงดงามเหนือขอบฟ้าสว่างไสว..จำต้องอดทน..เรากำหนดธรรมชาติไม่ได้



ความเหมาะสมเท่านั้นคือสัจธรรมของการก้าวเดินแห่งวิถีนิเวศน์ธรรม..



เมื่อแดดจ้าจนผืนแผ่นดินเหือดแห้ง...ไอน้ำจากทุกอณูอากาศจักรวมตัวกันจนคลุ้มคลั่งหลั่งเป็นสายฝนโปรยปรายความชุ่มฉ่ำ แด่สรรพชีวิต..



โลกถูกสร้างมาแค่นี้..แค่การเคลื่อนไหวตามครรลอง



เมื่อทุกอย่างสมดุล สัจธรรมแห่งการเคลื่อนไหวก็จักดำเนินอย่างสุขุม..



หากวงจรที่สมดุลถูกทำลายโดยความขัดแย้งอย่างเกินเหตุ..สัจธรรมแห่งการเคลื่อนไหวก็จักดำเนินอย่างที่มันควรจะเป็น..



โลกและชีวิตหมุนวนอยู่แค่นั้น.. แค่การเคลื่อนไหวตามครรลอง..



อินทรธนู..ิ

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น ท้องฟ้าและชีวิต


ผมเคยเล่าให้พ่อฟังว่า วันหนึ่ง.. หลังฝนหยุดตกได้ไม่นาน ผมเห็นแถบสีหลายๆ สีทอดโค้งอยู่เหนือยอดป่าโกงกางหลังบ้าน สีสันของมันชวนชม ตัดกับสีของผืนฟ้า ในขณะที่แสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดเข้ามาเห็นเป็นสีหมากสุก น้ำในคลองเออล้นเต็มตลิ่ง แลไปที่ต้นโกงกางเห็นน้ำค้างเกาะอยู่พร่างพรายบนผิวของใบไม้.. ผมตื่นเต้นใหญ่เมื่อแม่อนุญาตให้ออกจากบ้านได้ตอนฝนหยุด ผมชวนน้องไปนั่งดูบนเรือของลุง แม่หุงข้าวทำแกงอยู่บนชานบ้านใกล้ๆ คอยดูแลพวกเรา.. แม่เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดเป็นแถบสีทอดโค้งตรงขอบฟ้านั้นว่า “รุ้งกินน้ำ” มันจะเกิดขึ้นบ่อยหลังฝนหยุดตกและแสงแห่งดวงอาทิตย์สาดส่องมา.. แต่พ่อก็ยังดูไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนอย่างกับที่ผมเป็นเลย แกได้เห็นสีของท้องฟ้าที่สวยงามกว่านี้ กลางท้องทะเลกว้างมันต้องพบเจอกับท้องฟ้าหลายอารมณ์ หลากหลายสีสัน และหลากหลายเรื่องราว...วันหนึ่งผมโตขึ้นแล้วจะได้เห็นมัน.. ผมตั้งหน้าตั้งตารอจนกว่าจะได้พบเจอกับความหฤหรรษ์เช่นนั้น ก็ต่อเมื่อผมมีความเป็นคนหนุ่มเต็มตัวแล้ว..

เราจัดเตรียมสัมภาระกันตั้งแต่กลางวัน ในขณะที่พ่อและคนอื่นๆ วุ่นอยู่กับการตรวจดูร่างอวน แม่ก็สาละวนอยู่กับการจัดเตรียมเรื่องเสบียงไว้ให้เราหุงหากินกันในเรือ จริงๆ แม่ยังไม่อยากให้ผมติดเรือไปกับพ่อหรอก เห็นว่าผมยังอ่อนหัด กลัวไปเป็นภาระคนอื่นๆ แกย้ำนักย้ำหนาถึงความลำบากที่ต้องไปทนอยู่บนเรือกลางน่านน้ำกว้างใหญ่ คลื่นลมเวลามันสงบก็ดีไปอย่าง หากเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว มันก็เสมือนต้องปล่อยวางชีวิตทั้งชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชะตากรรม.. แต่ผมก็ยังอยากออกไป และพ่อก็เห็นงามกับผม.. แกอยากให้ผมออกไปเจอ ไปหัดจับโน่นถือนี่ ผมโตแล้วที่จะต้องเรียนรู้ เพราะต่อไปมันคืองานที่ผมจำต้องประสบ..แม่เลยตามใจ แม้จะยังเป็นห่วงแต่ก็จำยอม..
เราขนของลงเรือกันหลังมื้อค่ำ จัดเรียงทุกๆ อย่างไว้เป็นที่เป็นทาง ทุกคนลงมาพร้อมกันในเรือหลังรอจนน้ำในคลองขึ้นจนล้นตลิ่งให้เรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย พ่อก็ติดเครื่องยนต์เดินหน้า.. แม้ฟ้าคืนนั้นมืดสนิท แต่ดวงดาวนับร้อยพันบนแผ่นฟ้าส่องเป็นประกายระยิบระยับชวนมอง ลมกลางคืนพัดผ่านป่าโกงกางโชยกลิ่นเลนกลิ่นพืชพันธุ์มายั่วยวนอยู่ปลายจมูก เสียงคำราญของเครื่องยนต์เรือดั่งสนั่นเกิดเป็นเสียงสะท้อนอยู่ในพงรกของผืนป่าโกงกาง เรือหัวโทงเคลื่อนที่แหวกน่านน้ำในลำคลองแยกออกเป็นคลื่นลูกเล็กๆ อากาศหนาวเหน็บจับใจ แต่ความตื่นเต้นกับการผจญทะเลครั้งแรกมันเหมือนดวงไฟเล็กๆที่รุ่มเร้าอยู่ภายในใจ..

เราแล่นเรือไปตามลำคลองที่สองฟากปกคลุมไปด้วยผืนป่าโกงกางสักพักใหญ่ก็ถึงเวิ้งกว้างของผืนทะเล แม้จะเห็นเพียงรางๆ เพราะความมืด แต่กลิ่นอายที่แฝงมากับสายลมมันบอกถึงความกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา.. พ่อแล่นเรือเบาๆ บนกระแสคลื่นเอื่อยๆ ย่ำรุ่ง เบื้องหน้าเห็นแต่ภาพความมัวหม่นของผืนทะเลอันกว้างใหญ่ที่เมื่อตั้งตามองแล้วจะเห็นเส้นแบ่งขอบฟ้าและทะเลอยู่รางๆ.. ด้านหลังที่เรากำลังจากมาคือฟากฟ้าฝั่งตะวันออกที่เริ่มเห็นแสงสีส้มอ่อนๆ แหวกความมัวหม่นของผืนราตรี.. สายลมหนาวพลิ้วผ่านจนผิวเนื้อเต่งตึง แลดูผืนน้ำเห็นเพียงคลื่นที่ขึ้นลงสลับซับซ้อนหลายๆ ลูก.. แสงรางๆ ที่สาดมาจากด้านตะวันออกทำให้แลเห็นใบหน้าของพ่อซึ่งถือท้ายเรือบังคับหางเสืออยู่รางๆ ส่วนผมและลูกเรือของพ่ออีกสองคนหลบอยู่ในเก๋งเรือ คนหนึ่งยังหลบหลับปุ๋ยภายใต้ผ้าห่มผืนบางๆ อีกคนนั่งมวนยาเส้นสูบปล่อยควันโขมงในเก๋งเรือก่อนจางหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน.. คนแรกชื่อพี่หนู แกออกทะเลกับพ่อมาสักระยะหนึ่งแล้ว เคยออกไปเรียนชั้นมัธยมในเมือง แต่ก็เรียนไม่จบ เพราะฐานะทางบ้านลำบาก เลยกลับมาอยู่บ้านหัดออกทะเลหาปลา จนเดี๋ยวนี้ช่ำชอง แต่ยังไม่มีเรือเป็นของตัวเอง จึงร่วมงานกับพ่อ ได้ปลาเท่าไหร่พ่อก็แบ่งให้ตามควร ส่วนอีกคนคือพี่เสือ ลูกพี่ลูกน้องของผม ออกทะเลมาตั้งแต่เด็ก ช่ำชองในทุกๆ เรื่องกลางทะเล แกเคยอยู่เรือใหญ่หาปลาในเขตน่านน้ำประเทศมาเลเซีย แม้จะเสี่ยงแต่แกเคยบอกว่ามันจำเป็นต้องทำ ตำรวจท้องถิ่นที่นั่นไม่เรื่องมาก มีเงินปั่นส่วนให้สักหน่อย เราก็ลงมือวางอวนได้เสรี..แต่พี่เสือก็จำต้องลาออกจากงานนั้น เพราะไม่กินเส้นกับไต๋เรือจอมเจ้าเล่ห์ ทุกวันนี้เลยกลับมาออกทะเลร่วมกับพ่อ

ฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มเฉิดฉายด้วยแสงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาเต็มดวง กลางผืนฟ้าเริ่มมองเห็นปุยเมฆสีขาวแซมด้วยสีคล้ำจางจนถึงดำสนิท พี่เสือบอกเราอาจเจอฝนในช่วงสายๆ แต่คงไม่นาน ลมบันดาหยาซึ่งพัดพากลุ่มเมฆฝนจากทางใต้เพิ่งผ่านไปเมื่อสามสี่ค่ำก่อน คงไม่หนักมากพอให้เราได้แล่นเรือสะดวก พี่หนูยังนอนซมอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ขณะที่พี่เสือลุกจากที่นั่งไปประจำตรงหัวเรือ.. พ่อยังคงยืนถือท้ายเรืออยู่เช่นเดิม แต่เร่งความเร็วของเรือเพิ่มขึ้น เบื้องหลังที่เราเพิ่งผ่านมาเริ่มเห็นแผ่นดินจางๆกับผืนน้ำทะเล ข้างหน้าแลไกลสุดตาเห็นหมู่เกาะเรียงรายอยู่ห่างๆ กับม่านหมอกจางๆ ที่ค่อยๆ เลือนหายไปกับแสงแดดที่เจิดจ้าขึ้น เรือของเราแล่นฝ่าน่านน้ำขึ้นลงตามเกลียวคลื่น สายลมอุ่นๆ กระทบผิวให้รู้สึกสดชื่น..

เบื้องหน้าแลเห็นเพียงเส้นขอบฟ้าที่เสมือนจุดสุดท้ายของสายตาที่สามารถมองเห็น ฟากฟ้าฝั่งตะวันวันตกเห็นปุยเมฆขาวก่อตัวบดบังสีครามของผืนฟ้า แลลงมาตรงน่านน้ำสีมรกตเห็นเพียงเกลียวคลื่นกับฟองน้ำขาวๆ ใสๆ..แสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องน่านน้ำก่อประกายระยิบระยับชวนมอง เสมือนกองเพชรนิลจินดาที่ถูกโปรยหว่านไว้กระจัดกระจายเหนือน่านน้ำ..
พี่หนูพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนสองสามทีก่อนลุกขึ้นเก็บผ้าห่มไว้ในมุมด้านใน “เป็นไงถึงไม่นอน.. ยังอีกไกลหรอก ไม่ต้องตื่นเต้น เรายังต้องแล่นเรือไปอีกสักพักแหล่ะ” แกยิ้มบางๆ ก่อนจับบ่าผมซึ่งนั่งกอดเข่าอยู่เดินโค้งหลังงอตามความเตี้ยของเพดานเก๋งออกไปท้ายเรือ หยิบกระติกน้ำร้อนเทลงแก้วชงกาแฟดำ การชงเป็นไปอย่างทุลักทุเลตามแรงคลื่นที่กระทบเรือ ก่อนถือแก้วกาแฟเดินไปนั่งใกล้พี่เสือ.. พ่อหันมาทักทายผมโดยเสยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก “หิวหรือยัง” คำพูดแรกที่ออกจากพ่อตั้งแต่แล่นเรือออกจากท่า ผมส่ายหน้าเบาๆ ส่งยิ้มคืนให้ พ่อชี้ให้ดูเกาะแก่งที่เรียงรายสลับใกล้ไกล และบอกชื่อทั้งที่มาคร่าวๆ
แสงแดดเจิดจ้าในยามสายสาดส่องน่านน้ำกระทบเข้านัยน์ตาจนปวดแสบ หมู่เมฆก่อตัวเปลี่ยนรูปหลากหลาย นกนางแอ่นหลายตัวบินว่อนเล่นลมอยู่หลายจุด บางตัวพุ่งลงมาตรงผิวน้ำฉกปลาเล็กๆ ขึ้นทะยานฟ้าก่อนบินหายไปกับสายลม ปลาบางชนิดกระโจนเล่นเหนือผิวน้ำก่อนมุดหายกลับใต้ผืนทะเล แลไปไกลๆ นอกเรือทั้งซ้ายและขวาเห็นธงอวนลอยปักสลับสีแดง ขาว อยู่รำไร เรือประมงสี่ห้าลำลอยเด่นอยู่ห่างๆ ..ฟากฟ้าทั้งผืนแลดูสดใส..
......

แสงแดดยามเที่ยงไม่ได้เจิดจ้าอย่างที่ควรเป็น แสงของมันเริ่มเจือจาง พ่อเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าหลายหน เร่งความเร็วของเรือฝ่าเกลียวคลื่นที่สูงขึ้น ฟ้าฝั่งตะวันตกเริ่มมีเมฆจับกลุ่มก้อนหนาสีคล้ำไปจนถึงดำสนิท มองไกลๆ ไปเหนือน่านน้ำเบื้องหน้าเห็นสีเขียวคล้ำก่อตัวลบความใสกระจ่างของสีมรกตแห่งผืนน้ำอยู่รำไร มันคือแรงลมที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนเกิดห่าฝนโปรยปรายลงน่านน้ำ พี่เสือและพี่หนูหวนกลับเข้าสู่เก๋งเรืออีกครั้ง พ่อยังยืนคุมหางเสือเช่นเดิม ลมกรรโชกแรงขึ้นก่อคลื่นสูงใหญ่ สายฝนโปรยลงกระทบหลังคาเก๋งเรือส่งเสียงสนั่น พ่อเร่งความเร็วแหวกเกลียวคลื่นสูงใหญ่ที่ผลักเราให้สูงขึ้นก่อนกระโจนลงเพื่อรับแรงกระแทกจากคลื่นอีกหลายๆ ลูกนับครั้งไม่ถ้วน ฝนห่าใหญ่โปรยลงมาเหมือนท้องฟ้ารั่ว พ่อยืนคุมหางเสือตายังมองไกลไปเบื้องหน้า แม้ฝนเม็ดใหญ่จะถาโถมลงมา เสื้อผ้าของพ่อเปียกปอนแต่ยังสะบัดพลิ้วไหวตามแรงลม ฝนโปรยลงมาจนรอบๆ ลำเรือเห็นแต่ความพร่ามัว เสียงห่าฝนสนั่นสยบแม้เสียงเครื่องเรือที่ถูกเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ห่าฝนยังคงโปรยปรายไม่หยุดหย่อน พ่อยังคงแล่นเรือเดินหน้าทั้งร่างกายที่เปียกปอน น้ำฝนชโลมใบหน้าที่เคยเกรียมแดดไหลลงเป็นทางตามร่องเว้าของใบหน้า สายลมพัดสะบัดปลายเสื้อของพ่อให้พลิ้วไหว กระดุมเสื้อบางเม็ดหลุดออกจากรัง เผยรูปร่างกำยำที่เปียกโชกไปทั้งตัว พ่อหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนเร่งฝีเรือแหวกเกลียวคลื่นและลมฝนสู่เบื้องหน้า..
สักพักใหญ่ลมและฝนถึงค่อยๆ ซาลง.. พ่อชะลอความเร็วของเรือให้อยู่ในระดับปกติ เกลียวคลื่นเบาบางลง รอบๆ ลำเรือเริ่มมองเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ใสมรกตเช่นเดิม พ่อเรียกพี่เสือมาจับท้ายเรือ ก่อนเดินโค้งตัวเข้ามาในเก๋งฉวยผ้าขาวม้าซับหน้าที่เปียกโชก “เป็นไง สนุกไหม” พ่อทักทายด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว ก่อนบอกให้พี่หนูเตรียมร่างอวน พ่อชี้แนะให้พี่เสือเบี่ยงเบนเส้นทางเรือเลียบเกาะ เราจะวางอวนบริเวณนั้น ตกค่ำเราจะไปอาบน้ำอาบท่า ทานข้าว และอาจลอยลำนอนพักกันแถวนั้น..
พี่เสือชะลอความเร็วเรือเพ่งสายตาไปรอบๆ ดูกระแสน้ำและทิศทางลม พ่อและพี่หนูเริ่มต้นคลี่ร่างอวนออกไปยืนอยู่หัวเรือ ร่างอวนค่อยๆ ถูกหย่อนลงผืนน้ำจมหายไป โดยมีพ่อและพี่หนูค่อยๆ จับ และปล่อยออกไปที่ละนิดๆ ตามความเหมาะสม.. พี่เสือเดินเรือค่อยๆ ฝ่ากระแสน้ำลากร่างอวน.. ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างใส หมู่เมฆทะมึนลอยหายสู่ฟ้าฝั่งตะวันออก สายลมเริ่มเบาบางแต่ยังจับต้องกายให้หนาวสั่น..
..........
แสงแดดเจิดจ้าพอที่จะแผดเผาผิวหนังให้แห้งเกรียม.. ผมใส่เสื้อแขนยาวทับเสื้อยืดอีกชั้นแม้อากาศจะอบอ้าว บวกกับกลิ่นอายทะเลที่ชวนสำรอก.. ลมนิ่งลงกว่าเดิม แม้น้ำในทะเลจะไหลเชี่ยวกรากตามทิศทางของมัน ฟ้าฝั่งตะวันออกที่จากมาเริ่มมีกลุ่มเมฆก่อตัวเห็นเป็นสีควันบุหรี่ ฝั่งตะวันตกยังคงมัวหม่น แม้อาทิตย์จะเคลื่อนย้ายเลยเที่ยงมาตั้งนาน ทะเลดูสงบ เรากำลังลอยลำอยู่ไม่ห่างจากเกาะสักเท่าไหร่ ทั้งพ่อและพี่ๆ ทั้งสองกำลังสาละวนอยู่กับการปลดปูปลาออกจากร่างอวน ขณะผมได้ช่วยเกลี่ยน้ำแข็งในลังเมื่อใส่ปลาตัวโตๆลงไป..
เสร็จจากปลดปลาออกจากร่างอวน พี่เสือดึงสมอเรือขึ้นจากน้ำ ขณะพ่อหมุนจักรเครื่องเรือให้ติดอีกครั้ง ก่อนแหวกคลื่นเบาๆ ตรงไปยังชายหาดของเกาะ พ่อบอกเราจะไปหาน้ำอาบ และหุงหาอาหารกันที่นั่น เกาะเล็กๆ หาดทรายขาวกลางผืนน้ำ..
เราผลัดกันออกไปอาบน้ำล้างตัว ขณะพี่หนูกำลังสาละวนอยู่กับการปรุงอาหาร พ่อบอกแกงส้มปลากระบอกสดๆ กินกันในเรือยามเย็นมันวิเศษที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มผักลงไป แกงเอาง่ายๆ ที่สำคัญคือเนื้อปลามันสดๆ แน่น และหวาน.. พี่หนูดูช่ำชองในเรื่องการปรุง แม้เครื่องปรุงที่เรามีนอกจากเครื่องแกงที่แม่โคลกมาให้จากบ้านแล้วคือเกลือเพียงอย่างเดียว แต่กลิ่นเย้ายวนที่วนเวียนฟุ้งกระจายอยู่รอบบริเวณนั้นมันกระตุ้นให้น้ำลายสอ.. ปูม้าสดๆ เจ็ดแปดตัวถูกหย่อนลงหม้อไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีส้มสด พ่อบอกเราไม่ต้องมีน้ำจิ้มหรอก ปูสดๆ จากทะเลเนื้อแน่นๆ อย่างนี้กินกับข้าวก็วิเศษสุดแล้ว..
พี่เสือขนไม้ฟืนจากป่าละเมาะบนเกาะมากองไว้ก่อไฟไล่ยุง ขณะพ่อล้างร่างอวนเตรียมลงงานอีกครั้งในย่ำรุ่งของวันพรุ่ง..
บนชายหาดใต้ร่มสนฝั่งตะวันตกของเกาะ.. ฟ้ายามเย็นเริ่มมัวหม่นเห็นเมฆสีคล้ำรวมกลุ่มค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปฝั่งตะวันออก สายลมจากกลางทะเลพัดโชยเข้าหาฝั่งของเกาะเบาๆ ให้เรือของเราโครงเครงขึ้นลง ตามแรงผลักของคลื่น ฝูงริ้นไรเริ่มตอมและกัดจนแสบคันไปตามแขนขา อาทิตย์จวนอัสดง เห็นฟากฟ้าสีน้ำเงินกับหมู่เมฆถูกทาบทาด้วยแสงสีชมพูจางๆ เสียงหรีดเรไรกังวานสนั่นเกาะ ไฟในกองถูกสุมให้โหมแรงขึ้นส่งควันโขมงลอยขึ้นกลางอากาศ พ่อปูเสื่อนอนยืดแข้งยืดขาสบายอยู่บนลายทราย ขณะพี่หนูกับพี่เสือยังคงนั่งจิบกาแฟมวนยาเส้นสูบปล่อยควันฟุ้งกระจาย น่านน้ำฝั่งตะวันตกเห็นเป็นสีคล้ำกว้างไกล สุดสายตาเห็นเส้นขอบฟ้าที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนลงเรื่อยๆ แปรเปลี่ยนแสงซึ่งทาบทาอยู่บนผิวก้อนเมฆให้สลับสีอ่อนๆ งามๆ อยู่น่าชวนชม เหนือน่านน้ำสีคล้ำบริเวณตรงกลางถูกสาดด้วยแสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ก่อนอัสดงเห็นเป็นสีทองอ่อนโยน.. มันผันแปรอยู่เรื่อยๆ ค่อยๆ เจือจางลง จนเมื่อผืนทะเลอมอาทิตย์ลงทั้งดวง ผืนฟ้าจึงค่อยๆ มืดลง.. ราตรีกาลมาเยือนอย่างน่าพิศวง..

ผืนฟ้าดำสนิทหรอก.. ดวงดาวถึงประกายแสงระยิบระยับอยู่เต็มฟ้า แสงของมันอ่อนโยนจนน่าหลงใหล แม้ดวงจันทร์จะยังหลบอยู่อีกฟากฟ้าหลังเกาะ แต่แสงอ่อนๆ ของมันก็ยังสาดส่องให้น่านฟ้าฝั่งตะวันตกเจือจางอยู่บ้าง ดาวนับล้านประกายแสงเต็มฟ้า แม้บางส่วนถูกบดบังอยู่บ้างจากกลุ่มเมฆเล็กๆ ที่เคลื่อนย้ายอยู่เสมอ.. ลมทะเลพัดพาอณูอบอุ่นกลางน่านน้ำผ่านเข้ามาสัมผัสผิวหน้า กลิ่นทะเลมันอบอวนอยู่ในโพรงจมูก คลื่นซัดชายฝั่งเบาๆ เห็นปูลมวิ่งไปมาอยู่กระจัดกระจาย เสียงหรีดเรไรก้องกังวานกว่ายามเย็นแต่ไม่สามารถกลบเสียงคลื่นลมที่ยังคงซัดชายฝั่งเบาๆ อยู่สม่ำเสมอ พ่อและพี่ๆ ทั้งสองคนหลับปุ๋ยอยู่ใกล้ๆ กองไฟซึ่งยังโหมแรงพอขับไล่พวกริ้นไรให้ออกห่าง..
ดาวนับล้านเหนือฟากฟ้ายังคงยั่วยวนให้ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับใหลลงได้ แสงของมันอ่อนโยน ระยิบระยับ พร่างพราย อำไพ... ผมเอนกายบนลานทรายฝันถึงวันพรุ่ง...
...................

อากาศใกล้รุ่งหนาวเหน็บจนขนลุกชูชัน แสงจากดวงจันทร์ปลายฟ้าฝั่งตะวันตกสาดส่องมาเบาๆ ให้เห็นอยู่รางๆ ขณะดวงดาวซึ่งเคยประกายแสงระยิบระยับอยู่ในช่วงค่ำหายไป น้ำเริ่มลดแล้ว พี่เสือและพี่หนูเก็บข้าวของขนกลับลงเรืออย่างรีบเร่ง พ่อลากเรือเข้าหาฝั่งให้เราขนของลง แม้ยังจำต้องลุยน้ำลงไปพอประมาณ.. เรือถูกลากให้ลงไปอีกสักพักจนถึงจุดที่ลึกพอให้สามารถแล่นได้ พ่อก็หมุนเครื่องเรือเร่งเสียงคำรามก้อง.. พ่อเงยดูฟ้าอีกครั้งก่อนเร่งฝีเรือแล่นฝ่าเกลียวคลื่นไปทางทิศเหนือ.. ฟ้าฟากนั้นดูกระจ่างใส แม้ดวงตะวันอาจยังหลับใหลอยู่ในภวังค์ของค่ำคืน..
ผืนฟ้ามัวหม่นฝั่งตะวันออกเริ่มถูกโลมเลียด้วยแสงสีส้มอ่อนๆ อีกครา ตรงเส้นตัดระหว่างผืนน้ำทะเลและขอบฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มเห็นแสงจางๆ ส่องสาดขึ้นน่านฟ้าที่มีหมู่เมฆจับตัว แสงสีส้มอมขาวจางๆ ทาบทาผืนเมฆกลืนกินสีคล้ำให้จางหาย เหนือน่านน้ำเห็นเพียงหมอกหนาบดบังผืนภาพแห่งชีวิตเบื้องหลัง ลมหนาวพัดผ่านผิวหน้าเย็นเข้าถึงกระดูก เรือแล่นในอัตราความเร็วคงที่ แสงเจือจางจากฝั่งตะวันออกพอให้แลเห็นรอบๆ อยู่จางๆ

สักพักหรอก ฟ้าเกือบทั้งผืนถึงได้สว่างจนเกือบจ้า เมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากน่านน้ำเพียงครึ่งดวง แสงของมันส่องสาดน่านฟ้าที่เคยมืดสนิทให้สว่างไสว ม่านหมอกเหนือน่านน้ำจางหายไปกับพลังแสงที่เจิดจ้า นกทะเลหลายตัวโผบินอย่างเบิกบานอยู่เหนือน่านน้ำ มันบินเล่นลมไปมา บางตัวเล็งสายตาเพ่งมองลงสู่เบื้องล่างจับจ้องปลาบางตัวที่เผลอเวียนว่ายผิวน้ำ สายลมค่อยๆ โชยพัดผ่าน เกลียวคลื่นทะเลโอบอุ้มลำเรือไว้อย่างหยาบๆ เรามิอาจคาดการได้ถึงความปรวนแปรแห่งน่านน้ำ แม้ท้องฟ้าเบื้องบนจะกระจ่างใส เห็นเมฆขาวจับกลุ่มค่อยๆ เคลื่อนไหวอยู่ทางใต้ เรือของเราแล่นฝ่ากระแสคลื่นลมสู่เบื้องหน้า ณ จุด ใดจุดหนึ่ง กลางผืนทะเลกว้างใหญ่.....
.............................................

พฤศจิกายน 2553, ณ เรือนศิลป์กะรักษ์

เรื่องสั้น เป็ดไข่


บังอุหมอดลุกขึ้นแต่เช้าตรู่พาอาลีลูกชายวัยสิบเอ็ดขวบ แจวเรือล่องตามลำคลอง... จุดมุ่งหมายของทั้งสองคือดงเสม็ดบนโคกกลางผืนป่าโกงกาง แกตัดไม้ขนาดท่อนแขนยาวสี่เมตรแปดต้นให้อาลีขนลงเรือ จากนั้นก็นำกลับมาเหลาโคนให้แหลมปักเป็นเสาข้างละสี่ ตามความกว้างยาวที่พอเหมาะก่อนล้อมไว้ด้วยอวน ส่วนภายในแกได้ไม้ที่หาได้รอบๆ บ้านมาก่อเป็นกระต๊อบเล็กๆ ไม่ต้องยกพื้นขนาดความกว้างสองเมตรยาวสามเมตรเศษๆ และใช้สังกะสีเก่าๆ ที่เหลือจากสร้างบ้านมามุงเป็นหลังคาอย่างมิดชิด .. แกจะทำเล้าเป็ด..

ข่าวเรื่องรถเร่ขายลูกเป็ดไข่ซึ่งพ่อค้าจากภาคอีสานนำมาเต็มคันรถ เพิ่งเข้าหูแก ลูกค้าร้านน้ำชาขาประจำมาคุยกันแต่เรื่องนี้ บางคนซื้อมาเลี้ยงสามสิบถึงสี่สิบตัว วิธีเลี้ยงไม่ยากและหนักหนาอะไรมากมาย แค่ซื้ออาหารกระสอบกะประมาณพอเหมาะในแต่ละวัน พร้อมน้ำใส่กะละมังไว้ แค่นั้นก็เฝ้ารอให้มันเจริญเติบโตเองตามธรรมชาติและรอเก็บไข่มากินหรือขายได้

บังอุหมอด ชายวัยประมาณสามสิบปลายๆ แกยังดูหนุ่มอยู่เสมอ เพราะแต่งงานมีลูกเร็วและต้องรับผิดชอบครอบครัวหรอก แกถึงดูเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะรูปร่างแกเป็นคนร่างอ้วน ผิวคล้ำ พุงยื่นออกมาพอเหมาะ ไม่ถือว่ามากนัก ชอบนุ่งผ้าขาวม้าสีแดงสลับดำจางๆ ผืนเดียว ไม่ชอบใส่เสื้อ เหมือนพยายามโชว์พุงและขนหน้าอกที่มีอยู่เป็นหย่อมๆ ตรงกลางระหว่างนม หน้าตาของแกดูเข้ม ขรึม ผมหยิกยาวประมาณติ่งหู เวลาแดดส่องแลเป็นสีแดงจางๆ สลับดำ มีหนวดเคราหนาพอประมาณ เพราะค่อยๆ เล็มอยู่เสมอ

แกไม่ค่อยมีเวลาว่างอย่างคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ยึดอาชีพประมง หากไม่ออกทะเล หรือดักปูหาปลาในคลองกันแล้วถึงมีเวลาเหลือทำอย่างอื่น หรือไปมาหาสู่กับเพื่อนฝูง
บ้านของแกเป็นร้านค้าของชำและร้านน้ำชาร้านเดียวในชุมชน ตั้งแต่หัวรุ่งแกกับภรรยาต้องออกจากบ้านด้วยรถมอเตอร์ไซพ่วงข้างเพื่อจับจ่ายตลาด ทั้งผักสด กับข้าว อาหารแห้งมาวางขายหน้าร้าน กลับมาก็ต้องเตรียมการหาฟืนก่อไฟให้ภรรยาทอดขนมกล้วยแขกขาย ตกเที่ยงต้องไปวิดน้ำเรือ แกมีเรือเหมือนคนอื่นๆ แต่ไม่ค่อยได้ใช้อย่างอดีตที่เคยออกทะเลหาปลา มีบ้างบางครั้งที่เคยคิดจะขายให้เพื่อนบ้าน แต่คิดไปคิดมาหลายๆ รอบก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึก เพราะเรือลำที่มีอยู่นั้นเป็นเรือซึ่งตกทอดมาจากรุ่นพ่อ อย่างน้อยมีไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถึงแม้ไม่ได้ใช้เหมือนอย่างคนอื่นๆ ทุกวัน หากแต่บางครั้งจะเข้าไปตัดไม้ เก็บพืชผักในป่าโกงกางบ้าง ก็ไม่ต้องไปหยิบยืมเรือของใคร

ตกบ่ายแก่ๆ หลังได้มีเวลาพักผ่อนสักสองชั่วโมง ภรรยาก็จะปลุกแกขึ้นมารดน้ำพรวนดินในสวน ซึ่งแกได้ปลูกพืชผักจำพวกถั่วฝักยาว ขิง ข่า ตะไคร้ ผักหวาน ชะอม ฯลฯ ไว้มากมาย แกไม่อยากซื้อผักประเภทนี้ในตลาด เห็นว่ามันปลูกง่าย และจำเป็นต้องใช้อยู่เสมอ ปลูกเองกินเองเสียดีกว่าไปขนมาจากที่อื่นๆ.. ผักที่แกซื้อมาขายจากตลาดล้วนเป็นประเภทที่ชาวบ้านไม่ค่อยปลูก หรือปลูกก็ไม่ขึ้น เนื้อดินที่นี่มันเป็นดินร่วนปนทรายเสียส่วนใหญ่

แกเคยร่วมเลี้ยงปลากะชังกับเพื่อนบ้าน ล่าสุดจับปลาขึ้นมาขายไม่ได้ราคา ซ้ำยังต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะจับมากินมาขายได้ ภรรยาแกไม่อยากรอนานๆ ภาระในบ้านบางส่วนจำเป็นต้องหารายได้ต่อวัน แกเลยเลิกและหันมาลงทุนเปิดร้านค้าของชำและร้านน้ำชา อย่างนี้ดีเสียยิ่งกว่า เช้าๆ กลับจากตลาดมาเปิดร้าน แกก็มีลูกค้าแน่นอนที่ต้องมาซื้อหาของกินของใช้ บ้างมานั่งสั่งน้ำชา กาแฟ.. ร้านแกเลยกลายเป็นเสมือนศูนย์กลางของชุมชน ที่ซึ่งใครๆ ต่างไปมาหาสู่ จับจ่ายสินค้าในร้าน ทั้งเป็นที่สภากาแฟของคอการเมืองหรือเรื่องต่างๆ สัพเพเหระ..
แกเลยรู้เรื่องความเคลื่อนไหวต่างๆ ภายในหมู่บ้าน ไม่ว่าเรื่องราวของใคร ครอบครัวไหนเป็นอยู่อย่างไร ใครเข้าออกในชุมชนบ้าง หรือใครออกทะเลได้ปูปลามาเท่าไหร่แกรู้เรื่องทันเสียทั้งหมด..

จนมีคนมาพูดเรื่องรถเร่ขายลูกเป็ดไข่ที่ร้าน..ราคาของมันแค่ตัวละสิบบาท ลูกค้าแกคนหนึ่งซื้อไว้ตั้งยี่สิบตัว บางคนซื้อสามสิบถึงสี่สิบตัว ตอนนี้ต่างก็ทำเล้าไว้หลังบ้าน เฝ้ารอให้ถึงเวลามันออกไข่ .. บังอุหมอดได้ยินเรื่องดังกล่าวก็อดที่จะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนบ้านเหล่านั้นไม่ได้ บางคราเกือบลืมชงชาให้ลูกค้าในร้านเพราะมัวแต่สอบถามแต่เรื่องของลูกเป็ดไข่ บางคนแนะนำให้แกรีบทำเล้าเสียก่อน รถเร่ขายมันจะแวะเวียนมาอีกสองสามวัน.. แกคงตื่นเต้นใหญ่ เฝ้านึกคิดแต่เรื่องลูกเป็ดไข่ และหาช่วงเวลาว่างๆ ปรึกษากับภรรยาเรื่องทำเล้าเลี้ยงเป็ดตรงเนื้อที่ว่างหลังบ้าน..

เวลาสายของเช้าวันแดดจ้า.. หลังลูกค้าร้านน้ำชาของแกทยอยออกจากร้านสู่หน้าที่การงานตั้งแต่แดดยังอ่อนๆ บังอุหมอดก็รีบจัดเก็บของ ล้างถ้วยชากาแฟในร้านก่อนมาช่วยภรรยาใส่ฟืนในเตาทอดขนมกล้วยแขก .. ภรรยาแกเหมือนรู้และเห็นงามกับเรื่องเลี้ยงเป็ดไข่ดังที่ลูกค้าหลายคนในร้านพูดพร่ำกันตั้งแต่เช้า เลยชิงเอ่ยถามแกขึ้นมาก่อน
“สนใจเลี้ยงเป็ดกับเขาด้วยหรือ” บังอุหมอดยิ้มเงยหน้าขึ้นจากเตาหยักคิ้วข้างหนึ่งให้กับภรรยา..
“ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยาก พรุ่งนี้เราน่าจะต้องรีบซื้อของในตลาด จะได้รีบกลับมาไวๆ ฉันจะได้พาอาลีลงไปตัดไม้เสม็ดมาล้อมอวนทำเล้าเป็ดไว้หลังบ้าน” บังอุหมอดตีหน้าเข้มสื่อความตั้งใจให้ภรรยาเห็น
“บังก็เอาซิ.. อย่างน้อยทำเล้าเสร็จ ซื้อลูกเป็ดมา ก็ให้อาลีมันดูแล ทั้งคอยเก็บไข่มาขายหน้าร้านได้ กลับจากโรงเรียนมา ก็เห็นมันเที่ยววิ่งเล่นกับเพื่อนอยู่หรอก มีงานให้ทำบ้างก็หน้าจะดี” ภรรยาบังอุหมอดแทรกความตั้งใจเสริม
“ไม่เป็นไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันหรอก”
“งั้นขากลับจากตลาดพรุ่งนี้เช้าเราก็ซื้ออาหารเป็ดติดรถมาด้วยเลย ซื้อมาเยอะๆ” บังอุหมอดดูตื่นเต้นใหญ่
....


สองสามวันหลังจากนั้นบังอุหมอดไม่ยอมออกจากบ้านไปวิดน้ำเรือในช่วงบ่าย ปล่อยเรือหัวโทงของแกซึ่งผูกไว้ตรงท่าเรือริมคลองเต็มไปด้วยน้ำที่ซึมเข้ามา.. ทุกๆ บ่ายเคยเห็นแกออกมาวิดน้ำเรือ แม้บ่อยครั้งนักที่แกลากขึ้นมาหงายท้องทาชันใหม่เพื่อปิดรอยรั่วเล็กๆ ที่เกิดจากการชอนไชของแมลง หรือรอยรั่วเล็กๆ ที่ไม่เคยรู้สาเหตุ แต่ก็ยังมีน้ำซึมเข้ามาภายในอยู่เสมอ บางวันหากฝนตกลงมาแกก็ต้องรีบมาวิดน้ำออก ปล่อยไว้จะเสี่ยงเรือจม เพราะเมื่อน้ำขึ้นหนุนมาจากทะเลมากๆ หากปล่อยไว้ คงต้องเกณฑ์เพื่อนบ้านมาช่วยยกขึ้นจากน้ำหลังมันจมลงก้นคลอง..

แกได้แต่ป้วนเปี้ยนไปมา ทำโน่นทำนี่อยู่บริเวณบ้าน บางทีถือจอบตรงไปหลังบ้านถากหญ้า เก็บกวาดบริเวณภายในเล้าเป็ด บางทีก็ยืนพิงเสาเล้าเป็ดมือกอดอกอยู่เฉยๆ มองดูภายในเล้าเป็นเวลานานๆ.. สักพักแกจะเดินกลับออกมาหน้าบ้านแล้วถามเรื่องรถเร่ขายเป็ดจากภรรยา แกไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่รอรถขายเป็ด เผื่อมันผ่านมาจะได้รีบดักเอาไว้..

“บังไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยู่หน้าบ้านทั้งวัน หากผ่านมา ก็เห็นซิ บังไปท่าเรือเถอะ” ภรรยาบังหมอดรี่ตาหลบควันไฟขณะสาละวนอยู่กับการสุมไฟในเตา เมื่อเห็นท่าทางของสามีดูเคร่งเครียด เงียบขรึมไม่ยอมพูดยอมจา เลยเสนอให้ไปวิดน้ำเรือ..

แดดยามบ่ายแก่ๆ ค่อยๆ เจือจางลง แกยังเดินไปเดินมาอยู่สองสามที่ สะบัดผ้าขาวม้าผูกกระชับใหม่ตั้งหลายหน สีหน้าแกดูซึมๆ ไม่ยอมพูดยอมจา แม้ลูกค้ามาซื้อของในร้าน แกก็ไม่ได้ยิ้มแย้มหรือกล่าวทักทายใดๆ..

จนแว่วเสียงประกาศของรถขายเป็ดผ่านลำโพงตรงหัวรถกระบะสีแดงป้ายทะเบียนบอกชื่อจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานดังเข้ามาในรูหูทั้งสองข้าง แกยิ้มแห้งๆ ออกมาตรงมุมปาก ก่อนเรียกภรรยาให้เอาเงินในลิ้นชักมาให้ วิ่งไปยืนรอตรงริมถนนหน้าบ้าน ดูกระบะคันดังกล่าวค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาช้าๆ ก่อนมาจอดอยู่ตรงหน้า..
เสียงประกาศตรงตู้ลำโพงถูกรี่เสียงให้เบาลง ก่อนคนในรถสองคนจะเปิดประตูรถลงมาทักทาย..

“เป็นไงบัง จะซื้อเป็ดไหม ตัวละสิบบาท วันนี้ขายไปแล้วเกือบสามสิบตัว บ้านต้นซอยเขาซื้อไป” คนขายเปิดประตูรถลงมาส่งรอยยิ้มกว้างๆ เห็นไรฟัน

“เอาซิ” บังอุหมอดเดินตรงไปยังท้ายรถ เห็นลูกเป็ดหลายตัวตัวส่งเสียงร้องเอะอะดังไม่เป็นภาษา แกยิ้มใหญ่แล้วหันไปเรียกภรรยามาช่วยเลือกลูกเป็ด
“เลือกเอาเลยบัง..ตัวเมียหมด” คนขายเชียร์ใหญ่

แกเลือกเอาแต่ตัวใหญ่ๆ สามสิบตัว เฟ้นเอาแต่ตัวร้องเสียงเบาๆ แกบอกจะได้ไม่รำคาญหู ทั้งภรรยาและแกช่วยกันขนไปใส่ในเล้า และโปรยอาหารให้..

“ขอบใจมากบัง.. ไม่ต้องห่วงอีกไม่นานได้กิน” คนขายโบกมือลา ก่อนค่อยๆ เคลื่อนรถหายไป..
บังอุหมอดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับฝูงเป็ดในเล้า แกเดินไปเดินมารอบๆ เล้าตรวจดูร่างอวนที่ล้อมไว้เผื่อมีรอยฉีกขาดหรือยังไม่ได้ปิดไว้ดีพอ.. ตกกลางคืนแกก็เดินมาดูและเปลี่ยนน้ำในกะละมังอยู่เสมอ


....
เป็ดพวกนี้โตวันโตคืน.. กินอาหารเยอะกว่าที่บังอุหมอดเคยคิด เช้าทีบ่ายที แถมยังร้องเอะอะกันทั้งฝูงให้ต้องโปรยอาหารให้อีกรอบในช่วงค่ำ.. บางครั้งเหมือนไม่มีเหตุผลใดๆ มันก็ร้องเอะอะดังลั่น วิ่งตามกันไปมุมโน้นทีมุมนี้ทีอยู่ทั้งวัน บางช่วงบังอุหมอดแกเคยอยากลองปล่อยให้มันออกมานอกเล้าบ้าง แต่คิดดูอีกทีหากมันทั้งหมดกระจายกันไปคนละทิศละทาง คงต้องตามต้อนกลับกันแย่ แกเลยปล่อยให้มันร้องเอะอะกันอยู่เช่นนั้น.. กลับจากตลาดแต่เช้าทุกวัน แกก็เดินแวะเวียนเข้าไปดู เผื่อมีบางตัวจะออกไข่มาบ้าง ตามกำหนดแล้วคงถึงเวลาที่จะได้เก็บมากินมาขายบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็น..ตกเย็นเป็นหน้าที่ของอาลีเมื่อกลับจากโรงเรียนก็ต้องแวะมาให้อาหาร ทั้งตรวจดูว่ามีออกไข่มาบ้าง..แต่ก็ไม่เคยเห็น..
แกตั้งข้อสงสัยต่างๆ นานา ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับฝูงเป็ด แต่ก็คิดไม่ตกเสียสักที อยากให้รถเร่ขายกลับมาอีกรอบ จะได้ไต่ถาม แต่ก็ไม่เห็นหัว มันคงตระเวนเร่ขายไปทั่วภาคใต้ คงอีกนานกว่าจะได้แวะเวียนกลับมาทางนี้อีกสักหน

แกเริ่มเซ็งๆ กับเป็ดพวกนี้ ที่นับวันยิ่งต้องเพิ่มจำนวนอาหารมากขึ้น แต่ก็จำยอมให้ เพราะทนทรมานกับเสียงเอะอะพวกนั้นไม่ไหว.. ภาระต่างๆ ที่แกเคยรับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลเล้าเป็ดจึงตกมาอยู่ที่อาลีและภรรยา ทั้งสองต้องเป็นฝ่ายรับภาระเรื่องให้อาหาร และเปลี่ยนน้ำในกะละมังอยู่เสมอ จนแกทนไม่ไหวที่จะต้องไปปรึกษาเพื่อนบ้าน

“ของแกเป็นไงบ้าง” บังอุหมอดซักเพื่อนบ้านที่เคยซื้อเป็ดไปเลี้ยงเช่นกัน
“กูแจกจ่ายบ้างขายบ้างเสียเกือบหมดเล้าแล้ว.. เหลือไว้ห้าตัวที่มีออกไข่อยู่บ้าง ไว้ให้พอเก็บมากิน”
“มึงช่วยมาดูของกูหน่อย” บังอุหมอดชักชวนเพื่อนให้เข้าไปดูเป็ดของแกในเล้าหลังบ้าน

“ซวยแล้วมึง ได้ตัวผู้มาหมด แล้วมันจะไข่ยังไงวะ”
“เวร” บังอุหมอดสะบัดหัวลุกขึ้นกระชับผ้าขาวม้าใหม่.. หน้าตาเคร่งเครียดหันมองฝูงเป็ดที่ร้องเอะอะโวยวายกระจายอยู่ในเล้า ก่อนย่างเท้าออกกลับไปหาภรรยา..

แกเดินวนไปเวียนมาหน้าบ้านอยู่หลายรอบ..ก่อนเดินกลับมาหาภรรยา
“มะรืนนี้ไปเชิญโต๊ะอีหม่ามและทุกคนในชุมชน เราจะทำบุญแกงเป็ดที่บ้าน” แกสั่งภรรยาไว้ก่อนเดินตรงไปยังรถพ่วงข้างขับออกเร็วปรื๋อไปยังท่าเรือซึ่งห่างจากบ้านไม่มากนัก ปล่อยภรรยาและคนในร้านงุนงง..

………………

กันยายน 2553, ณ เรือนศิลป์กะรักษ์

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ท้องฟ้ามีชีวิต..สายน้ำก็เช่นกัน ทั้งสายลม หยาดน้ำค้างหลังฝนโปรย..
สายลมโชย เมฆหนาเคลื่อนตัว..
แสงแดดสาดส่องรัศมีลบรอยฝ้าอันพร่ามัวของม่านหมอกซึ่งก่อตัวเหนือน่านน้ำ..ความหฤหรรษ์แห่งชีวิตซ่อนตัวอย่างสงัดใต้ผิวเปลือกอันเปราะบางของวิถีอันเรียบง่าย..

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น บทเรียน




1

แม่บอกลูกๆ ทุกคนจะต้องไม่ลำบากเหมือนพ่อและแม่.. .”สมัยก่อนชีวิตพ่อและแม่ผ่านพ้นอะไรมาบ้าง ลูกๆ คงไม่รู้หรอก ความลำบากยากเข็ญมันเสมือนเพื่อนร่วมชีวิตเรามาเสมอ กว่าจะได้ลืมตาอ้าปากเหมือนชาวบ้านเขา ครอบครัวเรามีเรื่องราวให้จดจำเป็นอุทาหรณ์ย้ำเตือนพ่อและแม่มากมาย.. มันไม่ดีเลย หากต้องวนเวียนมาเผชิญกับชีวิตของลูกๆ อีกครั้ง ความคาดหวังของพ่อและแม่จึงอยู่ที่การให้ลูกๆ มีชีวิตอยู่ดีกินดี ไม่ต้องทนทุกข์ลำบากเหมือนท่านทั้งสองในอดีต”
ใช่ซิ.. ผมไม่เคยลืมหรอก ทุกๆ คำสอนสั่งที่เคยได้ยินจากปากของพ่อและแม่ วันเวลามันย่ำเดินไม่เคยหยุดหย่อนให้มนุษย์ได้มีเวลาขบคิดหรือตั้งสติหรอก มันทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน ทุกๆ วินาทีมันขับเคลื่อนชีวิตคนเราให้มุ่งไปแต่เบื้องหน้า แม้บางช่วงเวลาที่เคยผ่านพ้น อาจจะยังเป็นช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ แต่มันก็เก็บมาได้แค่ความรู้สึกไว้เพียงจดจำ “คนเราทุกคนควรย่ำเดินไปข้างหน้า อย่ามัวเสียเวลากับอดีตที่มันผ่านเลยไป” พ่อบอกเช่นนั้น

แต่พ่อก็เล่าให้ผมฟังอยู่เสมอ ถึงเรื่องราวในอดีตที่ทั้งพ่อและแม่เคยผ่านประสบมา ชีวิตของทั้งสองท่านไม่เรียบง่ายเลย การได้เกิดมาเป็นลูกคนจน มันหมายถึง ความจนในทุกๆ ด้าน ทรัพย์สิน ที่ทางทำกิน หรือแม้แต่หนทางที่จะดำเนินชีวิตให้มันสงบสุขเหมือนๆ กับคนอื่นๆ เขา.. พ่อไม่เคยคาดหวังเลยกับความมั่นคงหรือความมั่งมีในชีวิต แค่ให้ชีวิตในแต่ละวันได้มีข้าวกิน ที่ซุกหัวนอน มันก็คงจะเพียงพอแล้วกับการแบกหามร่างกายของตัวเองให้ผ่านไปวันต่อวัน..
พ่อเคยทำงานมาหลายอย่างประทังชีวิตตัวเอง แกเคยอยู่เรือขนส่งสินค้าไป ประเทศมาเลเซีย มันเป็นงานที่คนหนุ่มจากชนบทริมทะเลอันดามันแถบจังหวัดสตูลทำกันส่วนใหญ่ แต่มันเป็นงานที่หนักมาก พ่อไม่ชอบเอาเสียเลย การต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือขนส่งทีละหลายๆ ชั่วโมง บวกกับการแบกหาม มันเหนื่อยล้าทั้งกายและจิตใจที่หว้าเหว่ มันไม่มีทางเลือก สถานการณ์ทางบ้านมันผลักดันให้พ่อต้องต่อสู้บนวิถีชีวิตเยี่ยงนี้
แต่วันเวลาเหล่านั้นมันแลกมาด้วยความอดทนอดกลั้นเสมอ พ่อไม่เคยย่อท้อต่อความลำบากยากเข็ญเพียงไร ชีวิตพ่อมันลำบากมาตั้งแต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่ต้องระเหเร่ร่อนแล้ว เราผูกพันมากับทะเล กับคลื่นลมและแสงแดดที่เจิดจ้า จะให้ไปปักหลักถิ่นฐานที่ไหนได้ บนบกหากไม่ใช่พื้นที่เขตป่าสงวนแล้ว มันก็คือที่ทางทำกินของคนอื่นๆ หากมีโอกาสได้ขึ้นบกบ้าง ก็จำต้องเข้าไปหางานในฟาร์มกุ้งของนายทุน หรือไม่ก็จำต้องย่ำเท้าหางานแบกหามทั่วไปที่มีกระจัดกระจายตามโรงงานใหญ่ๆ แถบท่าเทียบเรือ...
การขนส่งมันดำเนินอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน ที่ซุกหัวนอน ที่กิน และที่ทำงานของพ่อเลยมีอยู่ ตราบใดที่ตัวแกยังมีสิทธิ์ที่จะแบกหามสินค้าบนเรือขนส่งเหล่านั้น
จนมาเจอแม่... แม่ผู้ผ่านประสบชีวิตที่ต้องผูกพันมากับความลำบากเช่นกัน ถึงแม้ครอบครัวของแม่จะพอมีที่ทางทำมาหากินบนเนื้อที่ริมคลองอยู่บ้างให้พอดักปู หาปลาเลี้ยงครอบครัว แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน แม่เลยต้องพาตัวเองติดกลุ่มเพื่อนละแวกบ้านขึ้นมาทำงานบนเรือจนเจอกับพ่อ บนวิถีแห่งความยากลำบากย่อมนำพาบุคคลที่พบเจอแต่ความยากลำบากมาเจอะเจอกันเสมอ พรมลิขิตมันน่าจะขีดไว้เช่นนั้น วันเวลาจึงประสานทั้งสองท่านให้เป็นคู่เคียงชีวิตที่ต้องร่วมลำบาก ถึงแม้ช่วงเวลาที่จะได้เคียงคู่ปลอบโยนจิตใจกันบนวิถีเช่นนี้จะมีโอกาสน้อยนัก แต่ความรักและเห็นอกเห็นใจกันมันนำพาให้ทั้งพ่อและแม่อดทนอดกลั้นสะสมเงินทองมากองรวมกัน และกลับมายังถิ่นฐานที่แม่เคยอยู่ หาหนทางใหม่ที่มันน่าจะเหมาะสมกว่าการต้องระเหเร่ร่อนไปกับเรือขนสินค้า
ความขยันหมั่นเพียรมันมีอิทธิพลเหลือเกินกับความเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น พ่อและแม่ช่วยกันทำมาหากินอย่างแข็งขันบนทางชีวิตใหม่..ฟาร์มเลี้ยงกุ้งเกิดขึ้นมากมายบนเนื้อที่แถบชุมชนที่เคยเป็นนาข้าวของชาวบ้านในหมู่บ้านที่แม่เคยอยู่ งานที่สามารถแลกกับเงินได้จึงมีมากมายไว้รองรับคนขยันหมั่นเพียรอย่างพ่อและแม่..
งานในฟาร์มกุ้งมันไม่หนักมากสำหรับพ่อและแม่ แถมยังได้เงินดีอีก หากครั้งใดที่ขายกุ้งได้เยอะจนเป็นที่พอใจของเจ้าของฟาร์ม พ่อกับแม่ก็จะได้ค่าตอบแทนและของกำนัลดีๆ เสมอ ทั้งสองพอมีเงินเก็บอยู่บ้างที่จะสามารถก่อร่างสร้างเรือนเล็กๆ บนเนื้อที่ริมคลองเขตป่าสงวน มันไม่ต้องเสียเงินซื้อที่ดินใหม่ ใครๆ เขาก็สร้างกันมาเยอะแยะ ถึงจะเป็นเขตป่าสงวน แต่ลำคลองมันเป็นของสาธารณะ บ้านหลังน้อยๆ จึงถูกก่อร่างสร้างขึ้นยื่นออกมาในลำคลองพอประมาณให้เป็นที่พักพิงได้
ชีวิตของพ่อและแม่เลยอยู่ในขั้นดีขึ้นบ้างจากแต่ก่อน อย่างน้อยทั้งสองก็มีบ้าน มีงานที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้บ้าง แต่มันก็ไม่ตลอดรอดฝั่งเสียทีเดียวหรอก ภาระที่ทั้งสองต้องแบกหามมันมากขึ้นพร้อมๆ กับความสะดวกสบายที่ทั้งสองต่างพอใจที่จะมี

ความฝันของพ่ออย่างหนึ่ง คือการพยายามเก็บเงินให้เยอะเพื่อมีเรือเป็นของตัวเอง อย่างน้อยการทำมาหากินก็จะง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เพราะทั้งป่าโกงกางและลำคลองที่นี่เสมือนคลังอันมหาศาลที่โลกพึงมีแด่มนุษย์ ผู้คนที่นี่ทำมาหากินกันหลายวิธี ดักจับสัตว์น้ำ ขุดไส้เดือนในป่าโกงกางเพื่อเป็นหัวอาหารอันโอชะแก่แม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ ตัดไม้โกงกางเผาเป็นถ่านขายส่งโรงงานใหญ่ หรือแม้กระทั่งรับจ้างตัดไม้ส่งนายทุนเพื่อการก่อสร้าง เหล่านี้ แค่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง ทุกๆ อย่างก็จะราบรื่นไปหมด

อยู่ฟาร์มกุ้งได้ไม่นาน พ่อและแม่เก็บเงินได้เยอะพอที่จะจ่ายค่าจ้างให้กับช่างฝีมือดีๆ โค่นต้นพยอมใหญ่ลงมาต่อเรือหัวโทงให้ฝันของพ่อเป็นจริงขึ้น.. การทำมาหากินไม่ใช่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป พ่อใช้เวลาในตอนเช้าเข้าไปในป่าโกงกางกับแม่พร้อมจอบและพร้าขุดไส้เดือนส่งขายให้กับเจ้าของฟาร์มกุ้งที่พ่อเคยทำงานมาก่อน ไส้เดือนเหล่านั้นล้วนเป็นอาหารเสริมชั้นยอดทีเดียวสำหรับแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำ การขุดหาก็ไม่เห็นจะยากอะไรมากมาย แค่เข้าไปในป่าโกงกางเลือกที่เหมาะๆ ขุดหรือเจาะเป็นโพรงลอดเข้าไปใต้รากต้นโกงกาง แค่นี้เราก็ได้ไส้เดือนตัวโตๆ นำไปขายได้เงินดีอยู่ ตกเที่ยงก่อนกลับมาบ้านพ่อก็ตัดไม้โกงกางติดเรือกลับมาส่วนหนึ่งเข้าเตาเผาถ่านส่งขายให้กับเรือใหญ่ซึ่งจะนำส่งประเทศมาเลเซีย ถึงช่วงบ่ายหลังทานข้าวทั้งสองมีเวลาได้พักผ่อนบ้างสักครู่ใหญ่ ก็นำไซบ้างเบ็ดบ้างออกหาปูหาปลาไว้สำหรับมื้อค่ำ... ชีวิตทั้งสองจากที่เคยผ่านพ้นความลำบากมาเริ่มส่อเค้าดีขึ้น แม่มีเงินเก็บที่พอให้ออกไปจับจ่ายตลาด ซื้อผักซื้อผลไม้มาทานมาเก็บไว้บ้าง พ่อก็พอมีโอกาสซื้อนกกรงหัวจุกมาเลี้ยงหัดให้ร้องเก่งๆ ส่งเข้าประกวดตามประเพณีต่างๆ พ่อชอบนกกรงหัวจุกมานาน แต่ด้วยฐานะที่มันไม่มีแม้กระทั่งที่พักพิง เลยไม่เคยมีโอกาสให้พ่อได้เลี้ยงหรือชื่นชมอย่างคนอื่นๆ

พ่อบอกครอบครัวของเราโชคดีที่ได้มาพึ่งพิงญาติพี่น้องฝ่ายแม่ในชุมชนแห่งนี้ เป็นชุมชนชาวเลที่สร้างบ้านริมฝั่งคลองติงหงี ลำคลองที่ทอดยาวออกไปสู่ทะเล สองฝั่งถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าโกงกางอันอุดมสมบูรณ์ ทุกๆ ครอบครัวอยู่ร่วมกันเสมือนพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน ต่างก็ดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเสมอ พ่อเล่าให้ฟังว่า.. ทุกๆ คนที่นี่ต่างก็เคยใช้ชีวิตกันอย่างลำบาก กว่าพวกเราจะมีวันนี้ได้ วันซึ่งต่างก็มีที่พักพิงและที่ทางทำกินกันเป็นที่เป็นทาง พวกเราต่างก็ต้องต่อสู้กันมาทั้งนั้น การได้มาลงหลักปักฐานอยู่กินกันที่นี่ได้ ถือเป็นความเมตตาอย่างยิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีแด่บ่าวของพระองค์......

ผู้คนที่นี่อยู่กินกันอย่างร่มเย็น.. ผืนป่า สายน้ำ และวีถีแห่งการดำรงชีวิตตามแบบอย่างอันประเสริฐของศาสดาคือหนทางที่บ่มเพาะให้ทุกคนต่างเผชิญหน้ากันด้วยไมตรีจิต ทุกๆ ครอบครัวต่างก็อยู่กินกันบนพื้นฐานของความเรียบง่าย เรามีกินมีแบ่งกันเสมอ เราถูกสอนให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักใคร่ ปรองดอง และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เราไม่มีบทลงโทษหรือข้อตกลงใดๆ ต่อการเป็นอยู่ที่ตายตัว.. แต่วีถีหรือแบบอย่างของการดำรงชีพที่ตกทอดต่อกันมามันประสานให้เราอยู่กับมันอย่างกลมกลืน.. การประกอบอาชีพ ความครื้นเครงและการศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าเสมือนดั่งอุปนิสัยของการเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่มาแต่ครั้นอดีต...


2

เมื่อความอยู่ดีกินดีเคยเสมือนความคาดหวังอันสูงส่งของหลายๆ ครอบครัวที่นี่ แม้จำต้องเผชิญกับความมุ่งมั่นอุตสาหะ หรือต้องแลกกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักเพียงไร ชีวิตที่แต่ละครอบครับต่างก็ต้องต่อสู้กันมาเลยปรับเปลี่ยนให้หนทางของการดำเนินชีวิตที่ย่อมต้องดีขึ้นตามความมานะบากบั่น.. หลายๆ ครอบครัวจากเดิมที่เคยต้องระเหเร่ร่อนก็ได้มีที่ทางทำกินที่มั่นคงขึ้น บางครอบครัวได้มีโอกาสสร้างบ้านเรือนใหญ่โต มีรถราขับ และอีกหลายๆ ครอบครัวเช่นกันที่ได้มีโอกาสส่งลูกให้ได้เล่าเรียนสูงๆ จนจบออกมามีงานมีการดีๆ ในเมืองใหญ่ หรือบ้างก็กลับเข้ามายังถิ่นฐานเดิมเพื่อก่อร่างสร้างตัวด้วยธุรกิจจากขนาดย่อมจนถึงกิจการใหญ่ๆ อย่างการลงทุนเรือประมงหาปลาขนาดใหญ่มีลูกจ้างมากมายประจำ..
ท่าเทียบเรือเล็กๆ ที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ด้วยไม้พังกาอย่างเช่นอดีต บัดนี้ถูกสร้างเสียใหม่เป็นแพปลาคอนกรีตให้เรือประมงใหญ่เทียบท่า..ริมคลองจากแต่ก่อนที่เคยเห็นเพียงแต่ชาวประมงกับเรือเล็กเที่ยวดักปูปลาตามริมน้ำแนวเขตป่าชายเลน บัดนี้กลายเป็นกระชังเลี้ยงปลามากมายกระจัดกระจาย

วิถีชีวิตของคนที่นี่ต่างก็ดำเนินอยู่ด้วยการต้องประกอบอาชีพ หลายๆ คนได้เป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะด้วยความมานะบากบั่นและการเก็บออม แต่ก็ยังมีบ้างบางส่วนที่ประกอบอาชีพด้วยการเป็นลูกจ้างในกิจการมากมายที่เกิดขึ้นในชุมชน
หลายสิ่งหลายอย่างในชุมชุนได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางที่แต่ก่อนเคยเป็นแค่ทางลูกรังปนทรายแคบๆ ตามแบบอย่างถนนชนบท บัดนี้ถูกสร้างใหม่ให้น่าขับขี่ขึ้นด้วยคอนกรีต.. ร้านรวงต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งโรงเรียนในชุมชนที่ได้รับความสนับสนุนมากมายจากทางการให้ได้มีการพัฒนาในเรื่องของวิชาการและความสะดวกสบายในการเรียนการสอน เด็กๆ ในชุมชนได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดในชั้นประถมเพื่อจบออกไปต่อชั้นมัธยมในเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ หลายๆ คนมีสิทธิ์ศึกษาต่อในสถาบันดีๆ เพราะด้วยพื้นฐานทางปัญญาและความมั่งมีของทางบ้านที่มีความตั้งใจสูงให้ได้ศึกษาต่อไป..

ความตั้งใจของพ่อและแม่สำหรับผมจึงเป็นความตั้งใจเช่นเดียวกันกับพ่อแม่ของลูกๆ ในครอบครัวอื่นๆ ท่านทั้งสองอยากให้ผมเรียนต่อสูงๆ แล้วจบออกมามีการมีงานที่มั่นคง.. “พ่อบอกหากเรามีความมุ่งมั่นแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆ เราก็จะสามารถทำได้ และไม่เคยมีผู้ใดหรอกที่เกิดมาแล้วต้องเผชิญอยู่แต่กับความลำบาก หากผู้นั้นมีความมุ่งมั่นและมานะบากบั่น แม้หนทางที่ตัวเขาต้องประสพนั้นจะยากเย็นแสนเข็ญก็ตาม เขาก็จำต้องประสบความสำเร็จ” พ่อเปรียบเปรยถึงครอบครัวอื่นๆ ที่ลูกๆ ของเขาประสบความสำเร็จให้ผมฟังอยู่เสมอ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ต้องต่อสู้ “ไม่มีใครหรอกในชุมชนแห่งนี้ที่เจริญก้าวหน้ามาได้ด้วยการอยู่เฉยๆ พวกเขาต่างก็เคยต้องดิ้นรน ต่อสู้กันทั้งนั้น”
แม้พ่อและแม่จำต้องบากบั่นทำงานกันอย่างหนักขึ้น เพียงให้ผมได้มีทุนเพื่อการเล่าเรียนจนจบชั้นมัธยมปลาย แต่ทั้งสองก็ไม่ยอมให้ผมหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ตัวอย่างของคนหนุ่มสาวหลายๆ คนในชุมชนที่ได้เล่าเรียนกันสูงๆ ในเมืองใหญ่มันมีแต่ภาพของผู้ที่กลับมาพร้อมความมีอยู่มีกินที่ดีขึ้น ทั้งการได้เป็นที่พึ่งพิงของคนทางบ้าน..เช่นนั้น พ่อและแม่จึงเห็นร่วมและตั้งใจสูงส่งที่จะให้ผมไปเรียนต่อ และต่างก็หวังไว้อย่างยิ่งที่จะเห็นภาพของผมเช่นนั้นในเร็ววัน..


“จนผมมาเป็นนักศึกษา...เป็นปัญญาชนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีสติปัญญา เป็นผู้ซึ่งมาหาความหมาย ผู้ที่ต่างก็มีอนาคตอันยาวไกล และเป็นผู้มีความฝัน... ผมถูกสอนให้รักโลกเช่นนี้ โลกที่เราผู้เรียน คือผู้ที่เกิดมาพร้อมสิทธิและโอกาสที่จะเรียนรู้และปฏิบัติตนอย่างผู้มีวัฒนธรรม อันหมายถึงการดำเนินชีวิตตามมูลค่าที่เคลื่อนไหวตาม ความรวนเรของจิตใจอันแข็งกระด้างของมนุษย์ เราถูกสอนให้เป็นเยี่ยงนั้น เยี่ยงนกที่เกิดมาท่ามกลางธรรมชาติและจิตวิญาณของนก แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงเพื่อทำหน้าที่ นักฝัน ท่ามกลางขอบเขตอันแข็งแก่รง... ผมพึงพอใจกับสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่ได้ด้วยความอยากของจิตใจ.. ความอ่อนโยนแห่งคืนวันยังคือคุณค่าอันบริสุทธิ์ ผมไม่ได้เกิดมาเพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเกิดมาตามธรรมชาติที่ทะนุถนอมพ่อและแม่ของผมอย่างอบอุ่น..โลกของผมกว้างกว่านั้น” ผมค้นหาช่วงขบคิดถึงสิ่งนี้เสมอ
พ่อและแม่ต่างมีความตั้งใจร่วมกันให้ผมมาเผชิญชีวิตที่นี่ และผมก็เห็นร่วม.. ถึงแม้ความรื่นเริงในวัยเด็กจะคอยฉุดรั้งจิตใจอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังอยากเดินหน้า เดินไปตามทางที่แม้ตัวเองก็ยังไม่รู้ที่สิ้นสุดก็ตาม กำลังใจและบทเรียนของพ่อและแม่มันยังดำรงในจิตใจของผมอย่างเยือกเย็น..

“ความรื่นเริงในวัยเด็ก” สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงความรื่นเริงที่อยู่เหนือความยากลำบากของผู้อื่น ผมไม่ได้มีความสุขในวัยเด็กในขณะที่ทั้งพ่อและแม่ของผมหยัดยืนอยู่บนฐานของความยากจนหรอก เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันรวมกันเป็นวิถีที่ไม่ได้มีแต่ด้านของการดิ้นรน หรือการขวนขวาย แต่มันเสมือนทางเดินชีวิตที่ต่างก็เขียนกันขึ้นด้วยชีวิต และต่างสัมผัสมันอย่างรู้คุณค่า ไม่ใช่การแสวงหาความหมาย... ผมมาจากโลกแห่งนั้น.. เสมือนดอกหญ้าทะเลที่งอกสอดแทรกสุมทุมพังกาที่แตกรากยึดหน้าดินในป่าโกงกาง ชีวิตผมเสมือนพันธุ์ไม้ซึ่งผลิดอกเบ่งบานท่ามกลางความอุตสาหะ ของพันธุ์ไม้ครึ่งบกครึ่งน้ำที่พยายามสร้างกำแพงความมั่งคงของผืนดิน และจิตใจกตัญญูของผมก็บังเกิดที่นั่น..
ถึงแม้สิ่งที่พ่อและแม่เคยทำเพื่อการค้ำจุนชีวิตจะมีความผิดแผกหรือผิดกฎเกณฑ์บ้านเมืองและความคงอยู่ของทรัพยากรธรรมชาติบ้างก็ตาม แต่มันคือ “รอยย่างก้าว” หรือร่องรอยของเรื่องราวการต่อสู้ที่จะเป็นบทเรียนอันมั่นคงแด่ผู้เกิดมาเบื้องหลัง... และมันคือผม คือดอกผลของพ่อและแม่ที่ถูกหล่อหลอมมาให้พาตัวเองออกจากความรู้สึกยากเข็ญ เหน็ดเหนื่อยหรืออ่อนล้า ผมถูกส่งให้มาอยู่เมืองกรุงเพื่อสิ่งอื่น... เพื่อความสะดวกสบายหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ความคาดหวังของพ่อและแม่บอกผมประมาณนั้น
ค่านิยมของคนกรุงมันปลิวว่อนไปไกลจนถึงถิ่นฐานที่ผมเคยกำเนิด และช่วงหนึ่งในชีวิตของพ่อและแม่ มันไม่ได้ฉุดรั้งท่านทั้งสองให้มาเผชิญชีวิตที่นี่ แต่มันดึงผมมาด้วยความมุ่งมั่น,, ความมุ่งมั่นเพื่อสิ่งอื่นๆ... ความมุ่งมั่นที่ผมเต็มใจขวนขวายพาตัวเองมา และผมก็พร้อมที่จะเจอกับทุกๆ แขนงสาขาวิชาที่ถูกวางเป็นรากฐานให้เราพบเจอ

พ่อและแม่ผมเคยลำบาก..ใช่.. มันเตือนสติอันอ่อนไหวของผมอยู่เสมอ.. ผมไม่เคยลืมที่จะนึกถึงเรื่องราวของท่านทั้งสอง ผมจากบ้านมานาน นานเสียเหลือเกินจนรอยย่างก้าวแรกที่นำผมออกจากบ้านมาดูเหมือนจะพร่ามัว.. ทุกๆ ย่างก้าวที่นำผมมาจนวันนี้มันมีแต่ผลักไสให้ผมห่างจากบ้าน ออกห่างจากความรู้สึกเดิมๆ ซึ่งอุ่นละไม.. แต่ผมก็พร้อมใจเสมอที่จะปล่อยให้ชีวิตของผมลื่นไหลไปกับกระแสเชี่ยวกรากของวันเวลา ภาพเบื้องหลังมันจะทรงพลังมากแค่ไหนต่อจิตใจเบื้องหน้า หากมันเป็นได้แค่ภาพของความทรงจำ จับต้องไม่ได้เหมือนภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏเสมอ..
มันเสมือนเป็นภารกิจ ใช่ มันเหมือนเป็นภารกิจสำหรับผมที่ต้องสู้.. ความปรารถนาดีของพ่อและแม่แปรเปลี่ยนเป็นความหวังให้ผมพลันลุกสู้อยู่เสมอ... ผมไม่ควรลำบาก.. พ่อและแม่คาดหวังเช่นนั้น เช่นเดียวกับพ่อและแม่ในครอบครัวอื่นๆ ละแวกบ้านที่ต่างตั้งความหวังให้กับลูกๆ ของตัวเองออกไปต่อสู้.. ชีวิตของเขาเหล่านั้นก็คล้ายคลึงกับเรา มันเป็นเช่นนี้เสียส่วนใหญ่ คนเลมันผูกพันมากับความลำบากเสมอ ลำบากที่เราต้องดิ้นรน ที่เราต้องเจอกับความยากเข็ญ และการต่อสู้ที่เหมือนไม่มีวันสิ้นสุด.. ทุกๆ วันของเรามันกำหนดให้เราต้องคอยผลักดันตัวเองให้พ้นไปในวันพรุ่ง ตำแหน่งของดวงจันทร์และกระแสน้ำขึ้นน้ำลงมันแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ ความเปลี่ยนแปลงเลยเกิดอยู่ทุกวัน ภาวะรอบตัวและ ความอยากของร่างกาย.. มันต่างก็เคลื่อนไหวเสมอ เราจึงอยู่เฉยไม่ได้ หากยืนหยัดที่จะสู้ เราก็ต้องพร้อมและมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ หากวางตัวอยู่เฉยๆ เช่นธรรมชาติชีวิตที่เราเคยเป็น วาระสุดท้ายคือการหนีไม่พ้นความตาย... ความตายที่เสมือนผลลัพธ์ของความต้องทนทุกข์ทรมาน..
แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนเลกลัวความตาย.. ชีวิตของเราแลกมากับความท้าทายที่จะวางเราไว้บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย... จุดมุ่งหมายของเรา (คนเล) จึงมากกว่าการพยายามดำรงชีวิตให้หลีกพ้นจากความทุกข์ทน แต่มันคืออำนาจของสายใยที่ผูกพันเราไว้ในสายเลือดระหว่างครอบครัวและญาติพี่น้อง ลูกหลานของคนที่นี่จึงไม่ควรดำรงอยู่อย่างผู้ทุกข์ทน สิ่งที่คนเลทำมันจึงต้องสร้างสิ่งที่มั่นคงเก็บถนอมเป็นมรดกอันล้ำค่าสืบทอดให้กับคนรุ่นหลัง... มันเป็นบันทึกเรื่องราวที่เขียนเป็นบทเรียนแห่งการต่อสู้

ผมจึงมองเห็นภาพความฝันของพ่อและแม่.. ภาพความอยู่ดีกินดีของครอบครัวที่เบ่งบานในความฝันของท่านทั้งสองเสมอ..

ผมจึงเต็มใจมาอยู่ที่นี่ เมืองกรุง เมืองใหญ่ เมืองหลวง และอีกหลายๆ นิยามความเป็นเมืองที่ต่างก็นิยามให้กับดินแดนแห่งนี้ ผมเต็มใจพาความฝันใฝ่เล็กๆ มาแสวงหาหนทางก่อเกิดที่นี่ ท่ามกลางกระแสแห่งความหลากหลายของการดำรงอยู่ และความวุ่นวายของชีวิต.. มันไม่ต่างอะไรมากกับการก้าวย่างพาตัวเองลงเรือพร้อมเครื่องมือหากินออกสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ อันรวนเร และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความเสี่ยงต่อชีวิตอันบอบบางของเรามีพอๆ กัน ออกเลกันไปไกลๆ เราจำต้องเจอแต่คลื่นลมลูกโตๆ และแสงแดดเจิดจ้า เรือโกโรโกโสลำน้อยๆ ท่ามกลางผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไม่สามารถพึ่งพิงสิ่งใดได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกฝากไว้กับผืนน้ำ และความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า...


แต่ความฝันเบื้องหน้าซิ.. มันช่างไกลเหลือแสน.. เราเคยออกเล เคยผจญหาเส้นขอบฟ้า ค้นหาจุดเชื่อมต่อของฟ้าและทะเล เส้นบางๆ ซึ่งกั้นกลางระหว่างความกว้างใหญ่ของผืนน้ำ และความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้า.. เราเหมือนไม่เจอมัน ยิ่งเราออกเรือกันไปไกลสักเท่าไหร่ ก็เสมือนอยู่กับที่..อยู่กับจุดเดิม.. จุดซึ่งคลื่นลมรวนเรเช่นจุดอื่นๆ.. แต่เราก็พอใจ พอใจกับสิ่งที่เราได้รับในแต่ละวัน พอใจกับปัจจัยยังชีพซึ่งพระผู้ยิ่งใหญ่ประทาน นอกเหนือจากการให้ดำรงอยู่อย่างช่วงคราว ก่อนเดินทางไปสู่วิถีแห่งนิรันดรกาล..
ผมจึงจำต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับความเป็นจริงที่เกิดที่นี่ อยู่กับหนทางซึ่งดีแต่ทำให้เกิดความดันทุรังที่จะมี มีทุกๆ สิ่งแม้จะเป็นปัจจัยที่เหนือความจำเป็นของการดำเนินชีวิตอย่างสั้นๆ แต่พ่อและแม่ก็ไม่ยอมให้ผมท้อ..ยุคสมัยของพ่อเคยลำบากเสียมากกว่านี้ คนเราเกิดมาเป็นคนด้อย จึงจำต้องสู้ สู้เพื่อสร้างพื้นที่ของตัวเองในสังคม สู้เพื่อกอบกู้สิทธิของตัวเราเอง.. หัวใจของการดำเนินชีวิตร่วมกันคือการแบ่งปัน พึ่งพาอาศัยกัน เหมือนดั่งคนเล.. คนเลซึ่งแบ่งปันน่านน้ำ และหยิบยื่นไมตรีจิตต่อกัน..วิถีของเราเช่นนี้ แม้จำต้องต่อสู้ เราก็จำต้องต่อสู้เยี่ยงนักสู้ เยี่ยงผู้ซึ่งมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคนานา..
ผมจึงมีวันนี้..วันซึ่งผมยังอยู่ที่นี่ ยังอยู่กับหนทางการต่อสู้ของผู้มุ่งมั่นท่ามกลางภาวะสังคมที่รวนเร สังคมที่ปั่นป่วนเสียยิ่งกว่ามรสุมกลางน่านน้ำทะเล..

“ความมานะบากบั่นในวันนี้ย่อมต้องส่งผลในวันหน้า” พ่อย้ำเสมอให้ผมเชื่อในสิ่งนี้...”ทุกอย่างในโลกต้องแลกมากับความบากบั่น การมุ่งมั่น และการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์นานา” บทเรียนที่พ่อเคยได้รับคือบทเรียนเดียวกันกับที่พ่อให้กับผม...

เมื่อต้องนึกกลับไปถึงอดีต ผมย่อมจำติดตาได้เสมอถึงหนแรกที่ได้ออกเลกับพ่อ รุ่งยังไม่สางที่พ่อและผมต้องติดเครื่องเรือออกสู่ทะเลใหญ่.. อากาศหนาวเหน็บในย่ำรุ่งมันแทรกซึมผิวหนังเข้าไปสัมผัสถึงกระดูก ม่านหมอกบางๆ ล่องลอยจางๆ แลเห็นในคืนมืด พ่อเดินเรือโดยไม่ต้องพึ่งแสงไฟ แม้เบื้องหน้าจะมืดมิด แต่ความช่ำชองมันนำทางพ่อให้ไปสู่จุดหมายที่มีปลาชุกชุม.. การใช้อวนเล็กดักจับปลาจำต้องมีคนมากกว่าหนึ่ง พ่อแนะวิธีให้ผมได้ลองหัดใช้อวนเล็ก โดยมีแกคอยควบคุยท้ายเรือ ถึงแม้การอธิบายจะดำเนินไปอย่างละเอียดลออจนประหนึ่งเรื่องง่ายๆ แต่กระแสคลื่นลมที่รวนเรกลางทะเลลึกมันบ่อนทำลายความมุ่งมั่นของผมเสียหมด ต้องพยายามหลายๆ ครั้งหลายคราจนชำนาญถึงจะดักจับปู ปลามาได้..ที่นี่ก็คงเช่นเดียวกัน หากไม่ได้อะไรกลับไปเลย การหันหลังกลับตัวเปล่าคงไม่ใช่หนทางที่ควรเป็น เราออกทะเลใหญ่ ดำเนินชีวิตอยู่บนหนทางเสี่ยง ฝ่ากระแสคลื่นลม อากาศร้อนอบอ้าว หรือบางครั้งจำต้องพบเจอกับมรสุม ความเป็นและความตายอยู่ใกล้ชิดกันจนเกือบเป็นเนื้อเดียวกัน จุดมุ่งหมายที่จำต้องแลกมากับความกล้าและทะเยอทะยานคือการต้องได้กุ้งหอยปูปลามากมายกลับเข้าฝั่ง การมาอยู่ที่นี่ของผมจึงมีหนทางเช่นเดียวกัน หนทางของการมุ่งมั่น หนทางของผู้แสวงหาความมั่นคง..

พ่อบอกว่าเราก็ต้องมีชีวิตที่มั่นคงกว่านี้ ถึงแม้เราจะมีบ้านที่พออาศัย อาชีพที่พอจะอยู่กินและได้ส่งเสียให้ผมได้เรียน แต่อนาคตมันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเราจะสามารถกำหนดได้หมดเสียทีเดียว ทุกๆ อย่างในโลกมันผันแปรได้ตลอด คนเราเกิดมาลำบากก็ต้องขวนขวาย เราไม่สามารถที่จะพึ่งพิงผู้อื่นได้ตลอดแม้แต่ตัวเราเอง.. การมานะบากบั่นมันสามารถทำให้เรามีมากกว่าแค่การประทังกาย.. หากเราพยายามมาก สิ่งที่เราได้รับตอบแทนก็ย่อมต้องเป็นความมั่นคงที่หมายรวมความอยู่ดีกินดีและสุขอย่างถาวรไว้ด้วยกัน
พ่อบอกผมเสมออยู่หรอกว่า สังคมทุกวันนี้มันมีหนทางมากมายมหาศาลที่นำพาให้มนุษย์ได้ดำรงอยู่และต่อสู้เพื่อความถูกต้อง วีถีชาวเลที่เคยต้องระเหเร่ร่อนมันไม่จำเป็นที่เราจักต้องดำเนินสืบทอดความลำบากกันชั่วลูกชั่วหลาน การศึกษาปัจจุบันมันมีมากมายหลายแขนงให้คนได้เล่าเรียนเพื่อนำพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก.. หากเรามีความตั้งใจ หนทางและการจัดการที่ดีก็ย่อมซึมทราบเป็นอุปนิสัยให้คนเราได้สร้างชีวิตให้ดีขึ้น มีอยู่มีกิน มีสิทธิ์มีเสียงในสังคม..
พ่อจึงฝันและเฝ้ารอที่จะเห็นผมกลับมาพร้อมความหวัง.. ความหวังที่พ่อตั้งใจรอให้ชีวิตของเราในครอบครัวได้อยู่ดีกินดีและมั่นคง พ่อบอกให้ผมไม่ต้องห่วงทางบ้าน ทั้งพ่อและแม่มีงานประจำอยู่แล้ว สามารถเก็บเงินทุนปันส่วนจากค่าข้าวค่ายาส่งเสียให้ผมได้เรียน เรียนเพื่อความรู้และทักษะที่จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานที่ดีกว่าอาชีพประมง หน้าที่การงานที่สร้างรายได้ค้ำจุนครอบครัวเราได้อย่างยั่งยืน..และพ่อก็เฝ้ารอ..เฝ้ารออยู่ทุกวี่วัน..

สิ่งที่ผมต้องเจอที่นี่มันมากกว่าภาพเมืองหลวงที่พ่อเคยได้ยินได้ฟัง..กระแสแห่งความโกลาหลและการแย่งชิงมันเกิดขึ้นกันซึ่งๆ หน้าไม่เหมือนกับที่พ่อเคยนึกฝัน พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าที่นี่ผมจำต้องเจอะเจอกับสิ่งใดบ้าง พ่อรู้เพียงว่าทุกๆ อย่างที่นี่มันมีความหวัง.. คนส่วนใหญ่พาตัวเองมาที่นี่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..เรื่องราวเช่นนี้จึงเสมือนดั่งภาพที่ตราตรึงในพฤติกรรมความเข้าใจของพ่อเสมอ..

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น เรื่องของหล่อน



1

หล่อนไม่ควรมองผมเช่นนั้น.. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม.. เราแค่เพื่อนบ้านที่เพิ่งจะได้ทำความรู้จักกัน และผมก็ไม่ใช่คนที่นี่.. ผมพาตัวเองมาอยู่เพียงเพื่อภาระหน้าที่เท่านั้น..

ต้องเป็นเช่นนี้เสมอ เหมือนกับทุกๆ วันที่ผมเดินผ่านรั้วหน้าบ้าน หล่อนจะต้องมองหน้าผมเสมือนมีอะไรบางอย่างในใจ.. ซึ่งผมอยากจะรู้เหมือนกัน.. แต่มันคงไม่ใช่ธุระอะไรมากมายที่ผมควรจะเข้าไปไถ่ถาม..ดวงตาของหล่อนเสมือนมีอะไรบางอย่างข้องใจในตัวผม ผมรู้สึกได้จากการสบตาทั้งสองข้างของหล่อน..

2

ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่.. ความเบื่อหน่ายชีวิตครูโรงเรียนในเมืองใหญ่มันผลักดันให้ผมเลือกที่จะมาสอนในโรงเรียนแถบชนบท ช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ผมอยากมีเวลาอยู่กับความสงบบ้าง เผื่อจิตใจที่มันถูกหมักหมมมาด้วยความสับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ จะได้พบเจอกับความเรียบง่ายและสงบสุขที่นี่ ผมเลยเลือกพาตัวเองมาสอนประจำอยู่ที่หมู่บ้านชาวเล ฝั่งทะเลอันดามันในจังหวัดสตูล ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ดำรงอาชีพชาวประมง มีบางส่วนทำไร่นา หรือเป็นลูกจ้างในฟาร์มกุ้งที่มีอยู่มากมายบนพื้นที่เขตชุมชน อากาศที่นี่สดชื่นไม่เหมือนเมืองใหญ่ที่ผมเคยอาศัย ผืนป่าอุดมสมบูรณ์และแม่น้ำลำคลองที่ใสสะอาด มันช่วยจรรโลงให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
บ้านพักของผม เป็นเรือนหลังไม่ใหญ่มาก เคยเป็นบ้านของน้องชายครูใหญ่กับครอบครัวที่เคยอาศัยมาก่อน แต่ตอนนี้ทั้งครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น บ้านเลยว่างมานาน บวกกับบ้านพักครูในโรงเรียนที่มีครูคนอื่นๆ พักกันอยู่ทุกหลัง ครูใหญ่เลยเสนอให้ผมมาอยู่ที่นี่ก่อน โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่า.. เพียงดูแลเรื่องค่าไฟทุกๆ เดือนที่ผมใช้ไป.. เรือนชั้นเดียวพร้อมห้องนอนสองห้อง มีห้องครัวและห้องน้ำบนตลิ่ง ห้องนอนอีกสองห้องและระเบียงยื่นออกไปในลำคลองประมาณเจ็ดถึงแปดเมตรเศษๆ ข้างหลังเป็นกระชังปลาสี่ห้องสำหรับเลี้ยงปลากะพง ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านพักคือผืนป่าโกงกางที่ทอดยาวอยู่ริมฝั่งคลอง ผืนป่าซึ่งอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์น้ำนานาพันธุ์อาศัย เสมือนสถานอนุบาลก่อนออกสู่ทะเลใหญ่.. เรือหัวโทงของชาวประมงที่นี่แล่นผ่านไปผ่านมาทั้งวัน ชาวประมงบ้างวางเบ็ดอยู่ริมฝั่งคลอง หรือไม่ก็ดักปูดักปลาตามลำน้ำที่เป็นตรอกเล็กๆ เข้าไปในป่า..
บ้านพักของผมห่างจากโรงเรียนประมาณสองกิโลเมตร รถมอเตอร์ไซค์คู่กายที่เคยใช้สมัยสอนอยู่ในเมืองเลยถูกนำมาใช้ประจำตำแหน่งต่อที่นี่.. โรงเรียนไม่ใหญ่มาก ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดตั้งแต่อนุบาลถึงประถมหก คงจะราวๆ เจ็ดสิบคน มีครูประจำอยู่หกคนรวมทั้งผม หน้าที่ของครูแต่ละคนจึงต้องเป็นครูประจำชั้นแต่ละห้องที่คอยสอนทุกๆ รายวิชาต่อเด็กนักเรียนในแต่ละชั้น.. ผมสอนชั้นประถมสี่ ซึ่งมีนักเรียนทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน เป็นผู้ชายเก้าคนส่วนที่เหลือเป็นเด็กผู้หญิง เด็กๆ ที่นี่ค่อนข้างซนพอสมควรแต่ก็มีความเป็นกันเองกับครูคนอื่นๆ เพราะครูส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นคนละแหวกบ้าน หรือบางท่านมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี..
ครูใหญ่พยายามพาผมไปพบบุคคลสำคัญในชุมชนทุกคน โดยเฉพาะโต๊ะอีหม่ามประจำหมู่บ้าน ผู้นำทางศาสนาอิสลามในชุมชน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านที่ดูเป็นมิตรตั้งแต่วันแรกที่ผมได้พบเจอ ส่วนกรรมการโรงเรียนทั้งหมดครูใหญ่ก็ได้นัดหมายให้มาประชุมร่วมกันเพื่อแนะนำให้ผมได้รู้จักมักคุ้นและแถลงเรื่องอื่นๆ ร่วมกัน แต่การนัดประชุมบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ต้องหนักใจบ้างพอสมควรสำหรับครูใหญ่ที่จะให้กรรมการโรงเรียนทุกๆ คนมาพบเจอกันได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะยุ่งอยู่กับภาระหน้าที่ของตัวเองกันเสียหมด บ้างออกเรือหาปลาค้างคืนในทะเลหลายๆ วัน บ้างก็แจวเรือหาปูปลาอยู่ในลำคลองทั้งวันไม่ยอมขึ้นฝั่ง.. แต่ครูใหญ่ก็อดทนเสมอ แกบอกเราต้องเข้าใจด้วยว่า คนที่นี่เขาเป็นเช่นนี้ วิถีชีวิตของเขาที่นี่ผูกพันกับหน้าที่การงาน..
แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องหนักอกหนักใจอะไรมากมายหรอก ผมมาที่นี่แค่ภาระหน้าที่ในการสอน งานของผมก็คงจะมีแค่การสอนให้เด็กๆ มีความรู้ความสามารถแค่นั้น อีกอย่างผมมาอยู่ที่นี่มันก็ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่แค่อยากมาอยู่อย่างเงียบๆ เรียบง่าย หลบหนีสังคมเมืองสักปีสองปี หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที ผมเลยไม่อยากต้องคิดอะไรมากกับเรื่องราวเช่นนั้น...

เรื่องอาหารการกินที่นี่ไม่ค่อยสะดวกเหมือนในเมืองใหญ่สักเท่าไหร่ สำหรับคนหนุ่มอย่างผมที่ไม่ค่อยสันทัดในเรื่องการทำอาหารเอง โชคดีที่ยังพอมีร้านน้ำชาใกล้มัสยิดในตอนเช้าให้ผมได้แวะดื่มกาแฟกับปาต้องโก๋สองสามคู่ก่อนเลยไปโรงเรียนให้ทันเวลาเคารพธงชาติ ส่วนมื้อเที่ยงผมก็ทานร่วมกับครูและนักเรียนในโรงเรียน สองมื้อในภาคกลางวันเลยรอดไป มีแต่มื้อตอนค่ำนั่นแหล่ะที่ผมต้องพยายามหากินเอง บางครั้งก็ต้องขับมอเตอร์ไซค์ประจำตำแหน่งออกมาในเขตเมืองเล็กๆ ใกล้หมู่บ้านหาร้านอาหารอร่อยๆ กิน หากขี้เกียจขับรถออกมาผมก็หาซื้ออาหารสำเร็จรูป หรือพวกปลากระป๋องและข้าวสารตุนไว้.. บางทีก็ได้รับคำเชิญให้ร่วมอาหารจากครูใหญ่บ้าง หรือผู้ใหญ่บ้านบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก.. สรุปว่า ผมก็ไม่ค่อยจะมีปัญหามากมายในเรื่องการกิน..

ในหมู่บ้านช่วงกลางวันส่วนใหญ่จะเห็นแค่เพียงผู้หญิงและเด็กๆ ที่ค่อนข้างจะพลุกพล่าน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่จะออกเรือดักปูหาปลากันในคลองหรือออกทะเลใหญ่ ผมเริ่มจะคุ้นเคยบ้างกับเจ้าของร้านขายของชำ เพราะต้องแวะซื้อของใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ หล่อนเป็นคนอัธยาศัยดี ทักทายผมอยู่เสมอเวลาขับรถผ่านหน้าร้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่ค่อยจะมีเวลานั่งคุยอะไรมากมายกับหล่อนหรอก เพราะเลิกโรงเรียนมาผมก็ต้องรีบกลับไปเตรียมการสอนสำหรับวันต่อไป หากไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ผมก็อยากกลับไปนอนพักผ่อน...

3
ความต่างระหว่างอยู่ที่นี่กับแต่ก่อนที่ผมเคยประจำโรงเรียนในเมืองคืออะไรนะหรือ?.. ใช่.. ผมเคยคิดเปรียบเทียบอยู่บ่อย ที่นี่ผมมีเวลามากขึ้นที่จะครุ่นคิดถึงตัวเอง บรรยากาศที่ห้อมล้อมด้วยความสมดุลของธรรมชาติและความเรียบง่ายในชุมชนมันเอื้อให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าชีวิตที่ดีแต่จะเจอกับความวุ่นวายในเมือง.. ที่นี่ผมไม่ต้องใช้เวลามากมายในการเดินทางไปทำงาน รถไม่ติด อากาศสดชื่น.. ผมมีเวลาเหลือเฟือในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน เพื่อนั่งจิบกาแฟหรืออ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม.. ตกเย็นหลังเลิกงานผมก็มีเวลามากมายที่จะได้พักผ่อนตรงระเบียงหลังบ้าน..
ที่เมืองใหญ่ผมต้องอยู่กับครอบครัว..ใช่แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมมีปัญหากับครอบครัวหรอก.. ผมไม่มีปัญหาอะไรที่อายุปูนนี้แล้วแต่ยังอาศัยอยู่กับครอบครัว.. เพราะมันเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เด็ก สมัยเรียน จนทำงาน ผมอยู่กับครอบครัวมาโดยตลอด.. ทุกอย่างมันสะดวกสบายไปหมด ผมไม่ต้องทำกับข้าวเอง ไม่ต้องกวาดบ้านถูเรือนเอง ไม่ต้องมีปัญหามากมายในเรื่องการใช้จ่ายในครัวเรือน..แต่อย่างหนึ่งที่ต้องเจอมาตลอด ก็คงจะเป็นเสียงบ่น.. เสียงบ่นของแม่.. แม่เป็นคนขี้บ่นมาตลอด.. ใช่ นั่นคือแม่.. แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมเบื่อกับสิ่งนี้ บางครั้งผมแอบอมยิ้มเสมอที่ได้นั่งฟังเสียงแม่บ่น..ส่วนพ่อ.. พ่อผู้จดจ่อแต่กับเรื่องงาน.. พ่อเป็นวิศวกร..ภาระหน้าที่ท่วมหัว ทุกๆ วินาทีของพ่อเสมือนมีไว้ให้งานเสียหมด.. ผมเข้าใจพ่ออยู่.. แม่ก็บอกเสมอว่าพ่อคือเสาหลักของบ้าน เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อต้องต่อสู้เพื่อความอยู่ดีกินดีของครอบครัว..และมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม..ผมมีโอกาสเรียนจนจบและมีงานมีการได้ ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อ.. พี่สาวผม.. สถาปนิกผู้หญิง.. ความภูมิใจของพ่อ.. เธอจบการศึกษามาพร้อมกับความภูมิใจอย่างยิ่งของพ่อผู้วางรากฐานอย่างดีให้.. ทุกวันนี้มีงานทำในบริษัทใหญ่ โก้ หรู มีรถยนต์ส่วนตัว..สมกับ สถาปนิกผู้หญิง.. ความภูมิใจของพ่อ... ส่วนน้องชายผม..อายุย่างเข้าสิบเจ็ด..เด็กแนว บ้าแฟชั่นเกาหลี..เปลี่ยนมือถือเดือนละเครื่อง แฟนสาวเพียบ..หัวแก้วหัวแหวนของแม่ ทำอะไรถูกไปหมด.. พูดถึงเรื่องเพื่อนฝูง..เพื่อนร่วมงาน.. เพื่อนสมัยเรียน..ผมมีเยอะแยะมากมาย ต่างคนต่างก็กระจัดกระจายทั่วอยู่ในเมืองใหญ่ บางคนก็ได้เจอกันเสมอในวันหยุดสุดสัปดาห์ เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่กันทั่วเมืองใหญ่ ยังคงเป็นความสุขเสมอที่ได้หวนคิดถึง.. แต่นั่นก็คงไม่ใช่หนทางที่ผมควรเผชิญอยู่เสมอหรอก คนเราน่าจะเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง ความสุขมากมายในหลายๆ เส้นทางยังคงรอเราเสมอ ผมคิดเห็นเช่นนั้น และวันนี้ผมเลยอยู่ที่นี่..

ที่นี่.. ผมยังไม่รู้ว่าผมจะเผชิญกับสิ่งใดบ้าง แต่เมื่อความตั้งใจของผมมันสูงถึงขนาดนี้ ผมก็จำเป็นต้องอยู่.. อยู่เพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตของตัวเอง ที่เราเองเป็นคนเลือก.. แต่อย่างน้อย ความประทับใจแรกของผมกับที่นี่มันมากพอที่จะทำให้ผมเลือกอยู่ต่อไปได้แน่.. ผมเชื่อเช่นนั้น..


4

บ้านเรือนที่นี่สร้างยกพื้นเหนือริมแม่น้ำกันเป็นส่วนใหญ่ เลียบลำคลองดูทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หลังบ้านเป็นกระชังเลี้ยงปลาวางกระจัดกระจายริมฝั่งคลอง ระหว่างบ้านมีพันธุ์ไม้หลายๆ ชนิดงอกแซมท่าเทียบเรือซึ่งมีเรือหัวโทงจอดเทียบท่าบรรทุกสัมภาระดักจับสัตว์น้ำอยู่เรียงราย..เกือบทุกบ้านมีเรือของตัวเอง มันคือพาหนะหลักที่คนที่นี่จะต้องมีเพื่อการประกอบอาชีพชาวประมง แม้กระทั่งเรือนหลังที่ผมอาศัยอยู่ก็ยังมีเรือจอดเกยตื้นอยู่ สภาพยังดีเยี่ยมพร้อมใช้งาน ครูใหญ่บอกเป็นของน้องชายแก แต่ก่อนเขาเคยออกเรือหาปลามาตลอด แต่เดี๋ยวนี้พาครอบครัวย้ายไปทำมาหากินกันที่อื่น ทั้งเรือและเครื่องมือหาปลาในบ้านเลยเก็บอยู่อย่างนั้นมานาน.. แกเคยบอกให้ผมหาเวลาว่างนำออกมาใช้ดูเสียบ้าง ผมขอให้แกพูดเล่นเถิด.. คนอย่างผมจะไปทำได้ยังไงกัน แม้แต่พายเรือผมก็ไม่เคยลองมาก่อนตั้งแต่เด็กแล้ว..
เรือนของผมอยู่ละแวกบ้านของชาวประมงหลายๆ หลังที่สร้างติดกันเลียบฝั่งคลอง ด้านหน้าเป็นถนนลูกรังแคบๆ ที่เชื่อมต่อบ้านแต่ละหลัง ด้านขวามือเป็นบ้านของลุงเฝน ซึ่งเป็นภารโรงในโรงเรียนที่ผมเข้ามาสอน บ้านของแกเป็นบ้านปูนกึ่งไม้ยื่นออกไปในลำคลองเช่นกัน ภรรยาของลุงเฝนชื่อป้าสาว เป็นลูกจ้างจับกุ้งในฟาร์มห่างจากบ้านไปเกือบกิโล ส่วนลูกชายแกเป็นนักเรียนประจำชั้นที่ผมสอน ผมเข้าไปพูดคุยกับแกบ่อยในตอนค่ำแต่ก็ไม่ทุกวันหรอก บางวันแกกลับมาจากโรงเรียนแล้วก็ลงไปในคลองดักไซปูบ้าง หรือไม่ก็ไปช่วยเมียแกจับกุ้งในฟาร์ม เวลาที่ได้พบแกและสนทนากันบ้างก็เป็นช่วงที่เจอกันในโรงเรียน ส่วนซ้ายมือของบ้านเป็นเรือนไม้กั้นสังกะสีเล็กๆ สร้างเป็นแพยื่นออกไปในลำคลอง ชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ อยู่กับภรรยาและลูกชายอายุประมาณสองขวบ ผมไม่ค่อยที่จะได้เจอผู้เป็นสามีสักเท่าไหร่ เพราะเขาต้องออกเรือไปในทะเลกับเพื่อนๆ อยู่เสมอ กลับเข้ามาบ้านบ้างแต่ละครั้งก็อยู่ไม่นาน หลังขนปูปลาขึ้นฝั่งให้ภรรยานำไปขาย ก็กลับลงไปในทะเลต่อ พวกเขาเตรียมเสบียงและสัมภาระกันไปมากมาย เพราะบางครั้งต้องนอนค้างคืนกลางทะเลทีละหลายๆ วัน...ฝ่ายภรรยาอยู่กับบ้านเลี้ยงลูกน้อย ทุกๆ วันจะต้องเห็นหล่อนนั่งซ่อมอวนให้กับสามีอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ใต้ต้นมะขามที่แตกกิ่งก้านสูงโตให้ร่มเงาครอบคลุมบ้านทั้งหลัง.. หล่อนเป็นญาติกับลุงเฝนซึ่งเป็นคนพื้นเพอยู่ที่นี่ สามีของหล่อนเป็นคนจากที่อื่น เข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน เป็นลูกจ้างตัดไม้โกงกางส่งเตาเผาถ่านของเถ้าแก่ในเมือง มาคบหาสมาคมกับหล่อนจนได้แต่งงานครองเรือนร่วมกันมาจนมีลูกได้สองขวบ สามีของหล่อนเป็นคนขยันและไม่ค่อยพูดค่อยจาสักเท่าไหร่ เราได้พบเจอกันบ้างในบางครั้งก็วันศุกร์ซึ่งผู้ชายในหมู่บ้านทั้งหมดจะต้องหยุดออกทะเล เพราะต้องไปละหมาดพร้อมกันที่มัสยิด กลับจากโรงเรียนในตอนเย็นผมเลยได้เห็นหน้าค่าตากับเขาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทักทายหรือพูดคุยกันสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็ไม่เคยที่จะหยุดนิ่งเสียทีเดียว ไม่นั่งเย็บอวนอยู่กับภรรยาก็จะเห็นพายเรือเรื่อยๆ เอื่อยๆ ออกไปเลียบลำคลองหาปูหาปลาตามประสา..
...

ส่วนผู้เป็นภรรยา จากการได้พูดคุยไถ่ถามกับลุงเฝนหลายๆ ครั้งทำให้ผมรู้ว่าหล่อนชื่อฟารีดา อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสอง ตามที่ผมสามารถคาดคะเนได้ ยังดูเป็นเด็กสาวมาก ไม่น่าจะมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างนี้ หล่อนน่าจะออกไปทำงานในเมืองหรือเรียนให้สูงๆ รับงานเป็นข้าราชการหรือทำงานอย่างอื่นที่เหมาะสมเสียดีกว่า หน้าตาของหล่อนดูดีทีเดียว แม้ผิวจะหมองคล้ำไปเสียบ้างคงด้วยหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่ทุกวี่วัน..แต่หล่อนเป็นคนขยันเอาการเอางาน ทุกๆ วันไม่เคยเห็นหล่อนพักเสียบ้างเลย ก่อนออกจากบ้านแต่เช้าตื่นขึ้นมาผมก็เห็นหล่อนกวาดบ้านถูเรือนอยู่แล้ว กลับมาตอนเย็นก็นั่งเย็บอวนหรือปอกฝักมะขามที่หล่นเกลื่อนพื้นหน้าบ้านส่งขายตามร้านค้าอยู่ทุกวี่วัน...คงเป็นเรื่องที่เหนื่อยพอสมควรสำหรับหล่อนที่จำต้องรับหน้าที่มากมายในบ้านตั้งแต่งานแม่บ้าน เลี้ยงลูก แถมยังต้องช่วยงานสามีอีก
ลุงเฝนเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของหล่อน ซึ่งเป็นเด็กสาวที่ลุงแกรับเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุสิบขวบ พ่อกับแม่ของหล่อนเคยทำงานอยู่แพปลากับเถ้าแก่แถวท่าเรือปากบารา แต่น่าเศร้านักเมื่อทั้งสองเสียชีวิตพร้อมกันขณะขับมอเตอร์ไซกลับมาบ้านและเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง.. ลุงแกเลยรับหล่อนเข้ามาเลี้ยงดูต่อที่บ้าน แต่ด้วยฐานะของลุงเฝนกับป้าสาวก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในย่านนี้ หล่อนเลยไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือต่อเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ชีวิตของหล่อนจึงต้องผูกพันมาโดยตลอดกับการต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานในบ้านของลุงเฝนและป้าสาว ในขณะที่ทั้งสองออกไปทำงานนอกบ้าน จนเมื่อเลาะหรือสามีของหล่อนซึ่งเป็นคนต่างถิ่นเข้ามาทำงานแถวบ้าน เกิดรักใคร่ชอบคอกัน ลุงเฝนก็เห็นว่าเลาะเป็นคนดีและขยันทำมาหากิน แกเลยให้นิกะห์อยู่กินกันจนปัจจุบัน..
ดวงตาของฟารีดาดูเศร้าหมองอยู่เสมอ ลุงเฝนบอกหล่อนเป็นคนอมทุกข์ ทุกคนในหมู่บ้านได้แต่เห็นใจ ไม่รู้จะช่วยหล่อนให้มากกว่านี้ได้อีกยังไงให้ดูเหมือนคนปกติขึ้น ดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้มีเลาะเข้ามาอยู่ด้วย เลยได้ช่วยกันทำมาหากิน.. แต่ทั้งคู่ก็ยังคงต้องลำบากอยู่บ้างหรอก เพราะเลาะเองก็ไม่ได้เลอเลิศหรือร่ำรวยมาแต่ไหน มาอยู่ถิ่นนี้ก็เพราะหน้าที่การงานที่ต้องมารับจ้างตัดไม้โกงกางส่งเตาเผา อยู่บ้านตัวเองก็เห็นว่าครอบครัวที่โน่นก็ยังต้องเช่าที่ทางทำกินเช่นกัน มาหลงรักฟารีดาเข้าก็ไม่มีทรัพย์สินมาสู่ขอ ทั้งลุงเฝนและญาติฝ่ายฟารีดาเห็นใจก็เรียกผู้ใหญ่มาหารือกันก็นิกะห์ให้กันโดยไม่ต้องมีสินสอดอะไรมากมาย แค่ขอให้ทั้งสองได้อยู่กินครองเรือน ช่วยกันทำมาหากินกันไป..ดีที่ทั้งคู่เป็นคนขยัน จึงช่วยกันทำมาหากินเก็บเงินยกเรือนหลังเล็กๆ อยู่ริมชายฝั่ง มีเรือมีเครื่องมือหาเลี้ยงชีพไม่อดตาย..
เรื่องของหล่อนถูกเล่าผ่านลุงเฝนมาประมาณนี้..


5

มาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ผมเริ่มสนิทสนมกับเพื่อนบ้านหลายๆ คนทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะลูกศิษย์ของตัวเองที่อยู่ใกล้บ้าน ผมได้รับคำเชิญจากเพื่อนบ้าน บ้างผู้ปกครองของเด็กๆ ให้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอยู่บ่อย บางครั้งก็มีโอกาสลงเรือไปกับชาวบ้านนั่งเล่นดูบรรยากาศริมแม่น้ำซึ่งหนาไปด้วยผืนป่าโกงกางและพืชพันธุ์ สัตว์น้ำนานาชนิด ผมหลงใหลในโลกเช่นนี้เหลือเกิน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่นี่มันส่งผลก่อให้เหล่าสัตว์น้ำน้อยใหญ่ชุกชุม ให้ชาวประมงหากินได้ตลอดทั้งปี บางช่วงที่เป็นช่วงน้ำใหญ่ หรือเมื่อตอนน้ำขึ้นสูง ชาวบ้านที่นี่ก็ต่างวางไซดักปูดำตัวใหญ่ๆ ถึงช่วงหน้าร้อนก็เก็บสาหร่ายทะเลซึ่งขึ้นอยู่ในอวนของกระชังปลาหรือไม่ก็เข้าป่าหาน้ำผึ้งและสมุนไพร บนชายหาดอีกฝั่งของหมู่บ้านก็เป็นที่เก็บหอยหรือดักกัดปลา.. อาชีพของคนที่นี่มีให้ทำมาหากินอยู่ทุกฤดูกาล พวกเขาทำมาหากินเพียงเพื่อการดำรงอยู่ มีบ้างที่ดักจับสัตว์น้ำ หรือพืชพันธุ์สมุนไพรมาเพื่อส่งขายในตลาด แต่ก็เป็นเพียงการทำธุรกิจขนาดย่อมเพื่อแลกกับเงินตราบางส่วนมาหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น วิถีชีวิตของคนที่นี่ผูกพันอยู่กับครอบครัว การทำมาหากิน และการดำรงชีวิตตามครรลองแห่งศาสนา หนทางชีวิตแห่งศาสดาที่จัดเจนจนเป็นแนวทางของการดำรงชีวิตอย่างสันติ..

ความหลงใหลในชุมชนที่นี่ทำให้ผมเลิกล้มความคิดที่เคยนึกอยากอยู่เพียงปี สองปี ผมกลับบ้านหลายรอบเพื่อขนข้าวของเครื่องใช้ในเมืองใหญ่นำมาอำนวยความสะดวกที่นี่ ทั้งทีวีสีจอยี่สิบสี่นิ้ว เครื่องเสียงโฮมเทียเตอร์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และอื่นๆ เล็กๆ น้อยอีกสารพัดอย่าง ชีวิตผมที่นี่จึงสะดวกยิ่งขึ้นกว่าช่วงแรกๆ ที่เข้ามาอยู่.. ทีวีทำให้ผมได้ติดตามข่าวสารเท่าทันขึ้น อีกทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน อย่างเช่นช่วงแรกๆ ที่เคยต้องซักผ้ากับมือจนต้องเสียเวล่ำเวลาในการได้พักผ่อน ขณะนี้ผมมีเครื่องซักผ้าเข้ามาผ่อนแรงและเพิ่มเวลาให้ทำโน่นทำนี่อีกตั้งเยอะ..ผมจะได้มีเวลาหาความสงบและรื่นรมย์กับธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่างเต็มที่เสียที..
การได้รู้จักกับหลานของลุงเฝนอีกคนหนึ่ง ชื่อดารุสเสมือนทำให้กรอบการเป็นอยู่ของผมที่นี่ดูกว้างขึ้น ดารุสเป็นหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ด ไม่เคยได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่นๆ โตมากับการต้องออกเรือหาปลากับพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ฝีมือการบังคับเรือของดารุสถือว่าเก่งกาจกว่าเพื่อนคนหนุ่มคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เขาชอบออกเรือหาปลากับเพื่อนฝูงในที่ไกลๆ ทีละหลายๆ วัน แม้คลื่นลมที่นั่นจะแรง หรือบางครั้งจะเป็นหน้ามรสุม แต่ด้วยมือของดารุสแล้ว ใครๆ ต่างก็ต้องชื่นชม.. ดารุสและเพื่อนได้ปู ปลา กลับมาบ้านทีละมากๆ เหลือจากการแจกจ่ายให้กับชาวบ้านคนอื่นๆ แลกกับค่าน้ำมันเรือ ดารุสก็จะให้แม่นำไปขายในตลาด..
ผมมีโอกาสได้คุยกับดารุสบ้างก็เมื่อเขานำปลามาให้ที่บ้าน แต่ผมไม่ได้รับไว้หรอก เพราะจะให้เอามาทำกินอย่างไรผมยังไม่รู้เลย แต่ก็รับคำเชิญที่จะไปร่วมทานที่บ้าน.. ดารุสชอบถามผมถึงเรื่องในเมือง เรื่องของการเป็นอยู่ และอีกหลายๆ เรื่องที่เขาเคยสงสัยเกี่ยวกับคนเมือง.. บางครั้งผมก็ไถ่ถามเขาถึงชีวิตกลางผืนทะเลใหญ่ เขาเล่าได้น่าตื่นเต้นทีเดียว ความผันแปรของกระแสน้ำ ความรวมเรของเกรียวคลื่น ฟ้า ฝน และความทรหดของวิถี ประมง เหล่านี้ทำให้ผมนึกภาพตามได้ชัดเจนเสมือนนั่งฟังเรื่องเล่าจากวิทยุอย่างไรอย่างนั้น..
ดารุสเป็นคนที่พูดเก่ง หน้าตากรำแดดแฝงให้เห็นถึงคนที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ของการท้าทาย เขาชอบที่จะเล่า และบางครั้งชักชวนผมให้ไปด้วย.. ผมเคยสัญญาอยู่หรอกแต่หน้าที่การงานมันรัดตัวพอสมควร ได้แต่สัญญาลอยๆ ไว้ว่าช่วงปิดเทอมใหญ่ หากไม่ตรงกับหน้ามรสุมก็จะลองไปดู..
นอกจากดารุสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม หรือคนในวัยใดๆ ก็ตามที่เป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่แล้วก็จะต้องออกทะเลหาปลา ถึงช่วงหน้าน้ำแต่ละครั้ง ก็จะได้เวลาของการเตรียมสัมภาระ แบกหามลงเรือตอนหัวรุ่งมุ่งสู่ทะเลใหญ่.. ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเขาจะออกกันไปกี่วัน และจะไปพักที่ส่วนไหนของทะเล เมื่อถามไถ่ดูบ้างถึงเวลาที่จะย้อนกลับเข้าฝั่ง ประโยคเดียวที่เป็นคำตอบเหมือนๆ กันคือจนกว่าน้ำจะหมด..
เมื่อถึงช่วงเวลานั้นแล้ว นั่นแหล่ะคือช่วงเวลาที่ใครๆ ต่างก็ยิ้มออก ลูกซึ่งต้องรอคอยที่จะขี่หลังพ่อ.. หรือภรรยาที่เฝ้ารอการกลับมาของสามีก็จะได้พบเจอกันอีกครั้ง แถมยังมีปูปลามากมายให้กินกันไปหลายๆ วัน หรือที่เหลือบ้างก็แลกค่าน้ำมันกันไปตามอัตภาพ..






6

อากาศร้อนจัดกลางทะเลในหน้าน้ำวันหนึ่งทำให้เลาะล้มป่วยลงกะทันหัน.. หลังจากเรือออกจากฝั่งได้แค่สองวัน เพื่อนๆ ซึ่งร่วมทีมเรือลำเดียวกันจึงต้องวกกลับเข้าฝั่งเพื่อนำเลาะกลับเข้าพักฟื้นที่บ้าน.. อาการป่วยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นในระยะแรกๆ ดีแต่จะทรุดลงเรื่อยๆ แบบฉบับของผู้ซึ่งใช้แรงงานหนักมาตลอดไม่ค่อยมีโรคภัยเบียดเบียน หากแต่เมื่อถึงคราที่ต้องล้มป่วยลงแล้วบวกกับความอ่อนล้าที่มีอยู่ด้วยเป็นทุนเดิม จึงต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักระยะหนึ่ง..เพื่อนๆ ละแหวกบ้านทั้งๆ สหายที่ออกเรือด้วยกันต่างสลับสับเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยือนถือของฝากติดไม้ติดมือกันมาเยี่ยมป่วย.. ฝ่ายฟารีดาจึงมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นกว่าวันก่อนๆ บางวันต้องออกจากบ้านไปกับป้าสาวที่ฟาร์มจับกุ้งเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ายาให้กับสามี.. หล่อนดูโทรมลงกว่าเดิมที่ผมเคยเห็น หน้าตาหมองคล้ำจนขอบล่างของเปลือกตาเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเขียวดั่งคนอดหลับอดนอน ผิวพรรณดูไม่มีชีวิตชีวา ดวงตาก็ดูจะไม่ค่อยสดใสเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ คนอื่นๆ.. การออกไปจับกุ้งที่ฟาร์มหรือบ่อกุ้งนั้น คนจับจะต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสามยามรุ่ง เพราะรถยนต์ของเจ้าของฟาร์มจะมารอรับอยู่ที่ร้านขายของชำกลางหมู่บ้าน เจ้าของฟาร์มกำหนดให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน เพราะต้องให้ทันรถโรงงานซึ่งจะมารอรับซื้อกุ้งในตอนบ่าย..

ภาระที่ต้องรับผิดชอบสำหรับหล่อนในขณะนี้คงมากยิ่งขึ้นกว่าเก่าที่เคยทำอยู่ ผมสังเกตได้จากสีหน้าและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดวงตาของหล่อน.. หล่อนมองผมแปลกๆ ไม่เหมือนระยะแรกๆ ที่เคยสบตากัน แต่ผมก็พอรู้อยู่หรอกว่ามันอาจเกิดจากความเหนื่อยหน่ายที่เกิดขึ้นจากการตรากตรำทำงานทั้งวัน หล่อนคงเหนื่อย คงเมื่อยหล้า และคงไม่อยากให้ใครเข้ามาซักถาม หรือทักทายใดๆ ทั้งสิ้น หรือบางทีอาจจะด้วยความมีโลกส่วนตัวมากเกินไปจนไม่อยากต้อนรับใครเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิตเลย ผมเคยเจอคนเช่นนี้บ่อย เพื่อนบ้านในเมืองส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ตื่นเช้าขึ้นมาแม้เจอหน้าก็ไม่ได้อยากจะทักทายกันเสียเท่าไหร่ เพื่อนๆ ที่ทำงานเก่าก็ล้วนเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองจนไม่อยากเสียเวล่ำเวลามาคุยทักทายกันสักเท่าไหร่ มันอาจกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับมนุษย์..
แต่ผมก็ย่อมไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้วกับเรื่องราวเช่นนี้ ผมเจอมาบ่อย อย่างน้อยผมก็พอมีลุงเฝน ป้าสาว และดารุสอยู่บ้างให้ได้คุยเล่นเป็นเพื่อน..



7

ข้อตกลงระหว่างผมกับดารุสถือเป็นบทสรุปของการเริ่มทำธุรกิจขนาดย่อมร่วมกัน เงินเก็บบางส่วนบวกกับการได้รับความช่วยเหลือจากทางบ้านอีกครึ่งทำให้ผมสามารถถอยรถกระบะคันงามจากห้างโชว์รูมในเมืองมาครอบครองได้โดยง่าย ดารุสและเพื่อนอีกแปดคนจะเป็นฝ่ายพาเรือออกทะเลใหญ่ เพื่อลากอวนหาปลา ส่วนผมจะขออนุญาติลาครูใหญ่ออกมาในตอนเที่ยงของวันเพื่อนำปลาที่ได้นั้นส่งไปขายในโรงงานขนส่งอาหารทะเลใกล้ท่าเทียบเรือประมงปากบารา ปลาที่ได้ทั้งหมดจะถูกนำส่งโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางที่จะมารับซื้อที่นี่ด้วยราคาที่ค่อนข้างจะไม่ยุติธรรม ข้อตกลงของเราคือการที่ผมออกรถขนส่ง และเงินทุนบางส่วนเพื่อซื้ออวนขนาดใหญ่ ลังบรรจุน้ำแข็ง และน้ำมันเรือในแต่ละครั้งที่ดารุสและเพื่อนต้องออกทะเล.. ธุรกิจดำเนินไปอย่างเรียบง่าย คนแปดคนกับเรือสามลำได้ปลามาเยอะแยะมากมาย จนบางครั้งเหลือจนเราได้แจกจ่ายให้เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ดารุสและเพื่อนได้ส่วนแบ่งเป็นเงินบางส่วนให้ทุกคนได้เก็บไว้เป็นต้นทุนของครอบครัว ส่วนตัวผมเองไม่ได้คาดหวังถึงผลกำไรอะไรมากมายโดยแท้จริงหรอก ผมแค่ถูกใจและอยากช่วยเหลือคนอย่างดารุส และตัวผมเองก็จะได้มีบทบาทบางส่วนกับการทำมาหากินของคนที่นี่อยู่บ้าง.. พ่อรู้สึกดีกับข่าวคราวของผมในขณะนี้ แกไม่ได้อยากให้ผมดำรงอาชีพครูเสียเท่าไหร่ แกอยากให้ผมกลับบ้านทำงานกับแกเสียมากกว่า แต่ให้ทำอย่างไรได้ ทางของผมมันเริ่มราบรื่นและสะดวกเสียยิ่งกว่าทางอื่นๆ ที่ผมเคยได้ลองใช้ชีวิตมาก่อนเสียอีก..
เมื่อทุกๆ อย่างเริ่มไปได้สวยและเข้าที่เข้าทาง กำไรส่วนหนึ่งที่ได้รับถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นกระชังปลาเจ็ดห้องซึ่งดารุสแนะนำให้ผมเลี้ยงปลากะพงเพิ่ม เพราะบางช่วงเมื่อถึงหน้ามรสุม ก็ไม่สามารถออกทะเลได้ อย่างน้อยเราก็ยังมีงานมีการอยู่หลังบ้าน ดารุสและเพื่อนจึงรับดูแลกันไปคนละห้อง เราลงพันธุ์ปลาห้องละสามร้อยตัว ทุกๆ วันดารุสจะเป็นคนไปรับซื้อปลาทรายตัวเล็กๆ ซึ่งติดอวนใหญ่ชาวประมงจ้าวอื่นๆ มาสับเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นอาหารในกระชัง ถึงช่วงหน้าร้อนปลายเดือนกุมภาพันธุ์ เราก็ยังสามารถเก็บสาหร่ายส่งขายตามท้องตลาดได้อีก..
วันเวลาผ่านไปเป็นเดือน และปี.. ผมเพิ่มพูนรายได้ขึ้นมากมายซึ่งสามารถเก็บเป็นต้นทุนส่วนตัวไว้ใช้ในยามจำเป็น ทั้งดารุสและเพื่อนก็ต่างมีเงินใช้ ซ่อมแซมเรือ ปลูกสร้างบ้านเรือน ทั้งยังมีเหลือเก็บอีกเป็นบางส่วน..

พ่อและแม่ประทับใจในตัวผมมากขึ้น ช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ท่านทั้งสองจะได้แวะมาเยี่ยมผมที่บ้าน ของฝากมากมายรวมทั้งข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานธุรกิจต่างทยอยมาหาอย่างไม่หยุดหย่อน ท่านทั้งสองยินดีที่จะให้เงินทุนกับผมอีกหากจำเป็น ทั้งสองยินดีที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในทุกๆ เรื่อง.. ผมเองก็รู้สึกดีเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้น..

9

หากไม่อยู่ที่โรงเรียนในช่วงกลางวัน หรือนั่งพูดคุยหารือกับดารุสและสหายผู้ร่วมงานคนอื่นๆ แล้ว ผมก็จะพาตัวเองมาเอนหลังอ่านหนังสือหรือชื่นชมบรรยากาศอันอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าโกงกางบวกกับลำน้ำอันสงบและเยือกเย็นหลังบ้าน จากตรงนี้ผมสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายของระบบนิเวศน์ที่พึ่งพาอาศัยกันอย่างสงบได้อย่างลึกซึ้ง การได้รู้สึกถึงความอุดมสมบูรณ์และการพึ่งพาอาศัยกันและกันของเหล่าพืชพันธุ์ สัตว์น้ำ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ช่วยจรรโลงใจผมให้เคารพต่ออำนาจความเป็นไปของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากการเคลื่อนไหวอย่างสงบของอำนาจเหล่านั้น..กระแสน้ำขึ้นน้ำลงที่นี่มีผลอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของสรรพสิ่งทั้งหมดรวมทั้งมนุษย์ ทุกๆ อย่างเสมือนอยู่ร่วมกันได้ด้วยการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในลำคลองและในป่าโกงกาง ต่างก็จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผืนป่าเพื่อเป็นที่อาศัย และการวางไข่อีกทั้งการอนุบาลตัวอ่อน..ต้นพังกา ตะบูน หรือหญ้าทะเลที่ขึ้นสลับซับซ้อนตรงตลิ่งก็เช่นเดียวกัน แม้รากของมันจะดูเก้งก้างไม่เป็นระเบียบ แต่นั่นแหล่ะคือตัวกรองอย่างดีที่จะทำหน้าที่กรองเศษไม้ใบไม้ไว้ให้เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์น้ำ และนั่นแหล่ะคือกันชนอย่างมั่นคงที่ผืนดินพึงมี..ทุกๆ อย่างที่นี่มีผลเกื้อกูลกันหมด..
เช่นเดียวกันกับการเป็นอยู่ของคนที่นี่ การคบหาสมาคมกันเยี่ยงครอบครัวเดียวกันเสมือนเป็นรากฐานอันชัดเจนที่มีผลต่อความสงบสุข เมื่อการไปมาหาสู่ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันคือกิจวัตรของความเป็นไปของคนที่นี่ ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชนจึงกลายเป็นความสงบสุขที่ต่างก็รักใคร่ปรองดองกัน.. อำนาจแห่งความเยือกเย็นและสุขุมของการเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายของธรรมชาติและการดำรงชีวิตตามแนวทางของศาสนาที่นี่มีผลอย่างยิ่งต่อการสรรค์สร้างความสงบสุขและอยู่ดีกินดีของคนที่นี่.. ผมทึ่งกับความเป็นไปเช่นนี้จริงๆ..

ผมไม่รู้หรอกว่าดารุสและคนอื่นๆ จะรู้สึกดีแค่ไหน ที่ผมมีส่วนเข้ามาทำให้การเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น อีกทั้งต่างก็ได้มีเงินมีทองเก็บกันถ้วนหน้า.. ผมรู้สึกดีทีเดียวที่ตัวเองได้ทำคุณประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อชุมชนและการได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับทางบ้าน..

นอกเหนือจากการชื่นชมธรรมชาติตรงหลังบ้านและการได้นึกคิดถึงความเป็นไปของตัวเองแล้ว มันอดไม่ได้ที่ผมต้องสังเกตไปยังเรือนสังกะสีเล็กๆซึ่งถัดไปจากบ้านของตัวเอง.. หลายวันแล้วที่ผมไม่ได้นึกถึงฟารีดาและครอบครัว.. พวกเขาดูนิ่งๆ อยู่เสมออย่างที่เป็นมา.. เลาะหายป่วยแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับดารุสและผม ด้วยเหตุผลประการใดหรือความคิดเห็นเช่นไรผมก็ไม่ได้รู้เสียอย่างละเอียด แค่บอกดารุสถึงความตั้งใจที่จะไม่ขอออกทะเลอีก แต่จะใช้เรือเล็กหาปลาหาปูในลำคลองใกล้ๆ บ้าน เพราะคงเห็นใจฟารีดาและลูกที่ต้องอยู่บ้านลำพัง ทั้งดารุสและผมจึงไม่อยากที่จะเคี่ยวเข็ญอะไรมากมาย..

ฟารีดาดูเงียบๆ ซึมๆ กว่าเก่าที่เคยเป็น สายตาของหล่อนมองผมแปลกๆ ทุกๆ ครั้งที่ต้องสบตากัน จากแต่ก่อนที่เคยเห็นรอยยิ้มมุมปากของหล่อนอยู่บ้างเมื่อต้องพบเจอกันที่บ้านลุงเฝนหรือเมื่อผมเดินผ่านหน้าบ้าน.. แต่เดี๋ยวนี้ซิ หล่อนมองผมแปลกๆ..

หลังจากเลาะหายป่วยทุกอย่างในบ้านของหล่อนคงเริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้น ก่อนหน้านี้อาจเป็นเรื่องทรหดพอสมควรที่เมื่อเสาหลักของบ้านต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ผู้เป็นแม่บ้านก็จำต้องรับภาระขึ้นเป็นสองเท่า.. ดีอยู่ที่บางวันได้ฝากลูกน้อยไว้กับป้าสาวให้ฟารีดาจะได้มีเวลาเต็มที่ ที่จะไปทำโน่นทำนี่แลกกับข้าวกับปลา อาหารประทังครอบครัว หากช่วยลุงเฝนเก็บปลาเก็บปูในเรือแล้ว หล่อนก็จะได้เงินเหลือบางส่วนซื้อยารักษาสามี..ถึงตอนนี้แล้วคงไม่น่าจะเป็นห่วงมากมาย เพราะเมื่อเลาะปกติดีแล้วก็เหมือนมีแรงงานหลักกลับมา ฟารีดาจากที่เคยวุ่นอยู่ทุกวี่วัน ก็กลับมารับผิดชอบงานง่ายๆ เหมือนเดิมที่เคยเป็นอยู่..

หล่อนดูกรำแดดไปกว่าเดิมที่เคยพบเจอ หน้าตายิ่งดูยิ่งเหมือนจะแก่กว่าวัยที่เป็นอยู่ ใบหน้าหมองคล้ำ ทั้งร่างกายก็ดูซูบผอมไปกว่าเดิม.. แต่ก่อนหน้าตาอิ่มเอิบกว่านี้เยอะ.. ผิวหน้ามีน้ำมีนวลบวกกับแววตาที่สดใสของสาวแรกรุ่น ความน่าสนใจในตัวเธอเหมือนเริ่มที่จะลบเลือนไปก่อนวัยที่จะเป็น... สาบานได้เลยว่าครั้งแรกที่เจอ หล่อนมีหน้าตาชวนชมกว่านี้ ใบหน้าที่สวยใสไร้ริ้วรอยชวนให้ผมต้องจับจ้องมองหล่อนอยู่เสมอ.. และสาบานได้อีกว่าผมเคยแอบหลงชอบหล่อนอยู่ด้วยในใจลึกๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่หรอกว่าหล่อนมีเลาะอยู่แล้ว.. แต่ใครจะไปบังคับจิตใจตัวเองไหวล่ะ

ฟารีดาน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ทั้งวัยและหน้าตาของหล่อนไม่ควรสูญหายไปกับความลำบากเช่นนี้ ผมนึกเห็นใจหล่อนอยู่เสมอ แต่ก็ได้แค่เห็นใจอยู่หรอก ผมก็ไม่รู้เลยเหมือนกันว่า คนนอกที่เข้ามาเป็นเพื่อนบ้านของหล่อนและครอบครัวนั้นจะมีพื้นที่มากน้อยแค่ไหนที่จะเข้าไปทักทายหรือหยิบยื่นไมตรีจิตให้กันและกันได้..





10

การงานของผมที่นี่ดำเนินไปอย่างดี อาชีพครูในชนบทมันสุขใจเสียเหลือเกิน กับการได้ใกล้ชิดกับเด็กในชั้นเรียนและผู้ปกครองของพวกเขา ผมสนิทสนมเป็นอย่างดีกับชาวบ้านเกือบทั้งหมดในชุมชนแห่งนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วต่างก็เริ่มเข้ามาร่วมงานกับผม โดยผู้ชายไม่เข้ามาร่วมออกทะเลกับดารุส ก็จะออกเรือหาปลา หาปูเอง ได้วันละเท่าไหร่ก็จะนำมาส่งให้กับผมเพื่อนำส่งแพปลาที่ปากบารา.. ส่วนผู้หญิงบางส่วนก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแกะปลาจากร่างแหร่างอวนที่พวกผู้ชายนำกลับมาจากทะเล ความสนิทสนมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันโดยการร่วมงานร่วมการกันอย่างแข็งขัน แม้แต่ครูใหญ่ก็ด้วย เรายังมีแผนงานร่วมกันอีกมากมายที่จะพัฒนาธุรกิจตรงนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป..
เว้นแต่เลาะและฟารีดาที่ยังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเราเสียสักเท่าไหร่ ผมไม่เคยรู้หรอกว่าด้วยสาเหตุเช่นใด.. แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมน่าจะมีความกล้ามากกว่านี้ที่จะพาตัวเองเข้าไปพูดคุยกับหล่อน.. จนป่านนี้แล้ว ผมก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหล่อน ไม่นึกเลยว่าแม้เราจะอาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน แต่ไม่สามารถสนทนาไต่ถามกันได้.. เคยอยู่หลายครั้งเหมือนกันหรอกที่ผมพยายามรวบรวมความกล้าของตัวเองเพื่อจะได้เข้าไปไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันบ้าง แต่ทุกครั้งเมื่อสบสายตาหล่อนแล้ว ความกล้าของผมก็ต้องสูญหายอยู่เสมอ แม้ในขณะที่เลาะล้มป่วยนอนพักอยู่กับบ้าน ผมก็ยังไม่อาจย่ำกรายเข้าเยือนเรือนหลังนั้นเพื่อเยี่ยมป่วยเพื่อนบ้านได้เลย บางอย่างมันทำให้ผมกลัดกลุ้มเสียเหลือเกินกับความจริงที่เกิดขึ้น..

ผมเห็นใจเหลือเกินกับความเป็นไปของฟารีดาและครอบครัว..หล่อนน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เราน่าจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างเช่นเพื่อนบ้านในชนบททั่วไป.. บางอย่างมันอาจทำให้ดูอึดอัดเสียจนเกินไป..ผมยังเฝ้ารออยู่หรอกที่จะให้ถึงวันเวลานั้น ช่วงเวลาที่เราจะคุยกันเสมือนญาติมิตร วันที่ฟารีดาจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ และพูดคุยกับผม..แต่คงสายเกินไปเสียแล้ว ช่วงปิดเทอมใหญ่ซึ่งผมเดินทางกลับเยี่ยมเยียนครอบครัวนั้น ลุงเฝนบอกเลาะขายเรือและเครื่องมือประมงให้กับคนอื่น ก่อนพาตัวเองและครอบครัวย้ายเข้าไปทำงานรับจ้างในเมือง.. หลายๆ สิ่ง หลายอย่างคงเปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของฟารีดาและครอบครัว บางอย่างมันยังก่อตัวเป็นความเห็นอกเห็นใจลึกๆ ในทรวงอกของผม..แต่กระนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม..
.....................................................................................................................

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องสั้น สิ่งที่ไม่เคยบอกเธอ





ขอให้ฉันได้เขียนถึงเธอเถอะนกแล... ในฐานะที่ฉันน่าจะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งพอจะเข้าใจเธอได้เสมอ ฉันรู้ดีอยู่หรอก ใช้ชีวิตเยี่ยงเธอมันรู้สึกเช่นไร.. ชีวิตคนเราแต่ละคนมันน่าตื่นเต้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของใคร เศรษฐี ยาจก นักการเมือง ศิลปิน คนขายของชำ นักศึกษา ชาวนา หรือ นักเขียน.. ชีวิตอันแผดร้อนหรืออ่อนโยนของแต่ละคนย่อมต้องผูกพันกับความฝัน เจตนารมณ์อันงดงามซึ่งแทรกซึมอยู่ในห้วงชีวิต
ฉันอยากเป็นนักเขียน นกแล.. เธอก็คงรู้ดีมาตลอด.. รู้ไหม ฉันไม่เคยนึกมาก่อนหรอกว่า ฉันจะลึกซึ้งกับสิ่งนี้มากแค่ไหน.. ฉันเคยแค่ชอบ.. แค่พึงพอใจกับการขีดเขียน.. การเล่าเรื่อง.. ใช่ ฉันทำอย่างนั้นมาตลอด.. จนถึงวันนี้ เธอรู้ไหมนกแล ฉันไม่นึกเลยว่ามันจะเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว.. ฉันผูกพันกับการเพ่งมองสังคมโดยโลกทัศน์ของตัวเอง การนั่งตรองนึกถึงความเป็นไป ความเปลี่ยนแปลง คุณค่าและความงาม ฉันรู้สึกกับสิ่งเหล่านั้นนกแล.. เธอคงจะเข้าใจตัวฉันดี เหมือนอย่างที่เราน่าจะเข้าใจกันมาเสมอ

การเขียนถึงเธอครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการเขียนด้วยเหตุผลเพราะฉันไม่มีเรื่องอื่นใดที่จะเขียน.. ความรู้สึกบางอย่างในห้วงหัวใจมันเสมือนสั่งการให้ฉันต้องเขียนถึงเธอนกแล.. ฉันมีเรื่องอื่นๆ ที่จะสามารถเขียนมากมาย ทุกๆ วันนี้ชีวิตฉันเสมือนผูกพันอยู่เสมอกับการอ่านสรรพสิ่งรอบข้างและการบันทึก สถานที่และสิ่งแวดล้อมรอบข้างในบ้านหลังใหม่ซึ่งฉันพาตัวเองมาอาศัยที่นี่ มันจรรโลงให้ทั้งจิตใจและสมองของฉันโลดแล่นเหลือเกิน ฉันเขียนงานใหม่ๆ ขึ้นมามากมายและหลากหลายขึ้น แต่มันไม่ได้หมายถึงว่า ทุกเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมานั้นจะได้เผยแพร่หรือตีพิมพ์ออกมาเสมอ มันยังคงเป็นเช่นเดิมนกแล ฉันยังเฝ้าพยายามส่งงานเขียนเหล่านี้ไปตามนิตยสารและสื่อพิมพ์ทั่วไปและคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ยังเป็นเช่นเดิมหลังจากได้ผ่านสายตาของบรรณาธิการ.. งานเขียนของฉันยังด้อยมากนักที่จะสามารถให้ใครๆ ได้กล้าลงทุนตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะชน ฉันคงต้องใช้เวลาฝึกอีกนานโข จนกว่างานของตัวเองจะสามารถเป็นที่ยอมรับของใครๆ ได้ แต่มันก็ไม่เคยทำให้ฉันต้องละความพยายามหรอกนกแล.. ชีวิตที่ฉันเผชิญอยู่ทุกวันมันสุขมากเพียงไหน เธอน่าจะแวะมาเยี่ยมฉันดูบ้าง ฉันมีความสุขเหลือเกิน ตั้งแต่พาตัวเองมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ สถานที่ที่ฉันรู้สึกเสมือนว่าเป็นห้องเรียนแห่งใหม่ของตัวเอง บ้านหลังน้อยริมคลองซึ่งน้ำไหลผ่านฉ่ำเย็นเสมอ ผืนป่าโกงกางทอดยาวริมฝั่งคลองคงความอุดมสมบูรณ์หล่อเลี้ยงผู้คนและเหล่าสัตว์น้ำที่นี่อย่างสมดุล ความโอบอ้อมอารีย์และมิตรไมตรีจากผู้คนที่นี่โอบกอดฉันให้รู้สึกอบอุ่นเสมือนดั่งภูมิลำเนาเดิม เรื่องราวต่างๆ สลับซับซ้อนกันให้ฉันได้สตรับเรียนรู้ และฝึกฝน ฉันพบที่ของฉันแล้วนกแล.. บ้านซึ่งจักเป็นสถานที่ที่ฉันจะต้องเรียนรู้และฝึกหัดงานเขียนของตัวเอง อีกไม่นานหรอกนกแล ตราบใดที่ฝันของฉันยังคงประกายเด่นในดวงใจอันเปี่ยมล้นด้วยศรัทธาในรสวรรณกรรม ฉันต้องเป็นนักเขียน...

ฉันดีใจที่เรามีโอกาสคุยกันตลอดนกแล แม้เราไม่ได้เจอะเจอกันเสียนาน ฉันสุขใจทุกครั้งที่ได้ฟังเสียงเธอ.. มันคือสิ่งเดียวที่คอยทำให้ฉันระลึกถึงช่วงเวลาอันสดใสที่ได้อยู่ร่วมกับเธอนกแล กาลเวลามันหมุนเร็วเหลือเกิน.. ตอนนี้เราต่างก็เดินทางไปตามความฝันของตัวเอง เธอคงมีความสุขเหลือเกินซินะกับการงานของตัวเอง ฉันรู้อยู่หรอกนกแล เธอชอบพูดเรื่องงาน ชอบเล่าอะไรๆ หลายๆ อย่างเกี่ยวกับงานของเธอให้ฉันฟัง.. ฉันอิ่มเอมใจทุกครั้งนกแลที่ได้รู้ว่าเธอมีความสุขแม้บางเรื่องในชีวิตอาจทำให้เธอกังวลหรือเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง..
ชีวิตคนเรามันเป็นเสียอย่างนี้แหล่ะนกแล.. บางคราสุขใจ เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อบางอย่างมันสมปรารถนา.. แต่บางครั้งก็ต้องมีเรื่องทุกข์ใจ หม่นหมองใจบ้าง มันเหมือนทั้งสองอย่างคู่กันฉันใดฉันนั้น..

ฉันจึงอยากเขียนถึงเธอนกแล.. ไม่ว่าจะในโอกาสใดก็ตาม หรือในฐานะที่ฉันกำลังฝึกฝนเขียนงานของตัวเองอยู่ก็ตาม แรงบันดาลใจบางอย่างที่เกิดขึ้นจากวันเวลาของเรา มันคอยผลักดันให้ฉันอยากลงมือเขียนเรื่องเธออยู่เสมอ จนถึงช่วงเวลานี้ที่ฉันได้ลงมือเขียน ฉันสุขใจเหลือเกินนกแลที่ ได้นึกถึงเธอ และได้เขียนถึงเธอ..
ฉันยังจำได้เสมอนกแล เรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเธอ.. เธอชอบเล่าให้ฉันฟังบ่อย แล้วเราก็ร้องไห้ด้วยกันเสมอ.. มีบางคนบอกฉันว่าเธอเป็นคนน่าเอ็นดู ดวงตาเธอชอบหมองเศร้า เธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหล่ะ.. ฉันก็รู้สึกอยู่หรอก ทุกครั้งที่เธอเล่าเรื่องแม่ของเธอ จำได้ไหม ฉันต้องร้องไห้ออกมาก่อนเธอเสียทุกครั้ง เพราะเรื่องมันน่าเศร้าจริงๆ นั่นแหล่ะ ฉันเศร้าใจมากับเธอตลอด แต่ใครเล่าจะเลือกเกิดได้บ้าง.. คงไม่มีหรอก.. เราทุกคนเสมือนถูกกำหนดมาให้คู่กับการต่อสู้ ความลำบาก... ฉันไม่เชื่อหรอกว่าในโลกนี้จะมีใครที่มีความสุขอยู่เสมอ.. แม้กระทั่งบางคนที่เกิดมาท่ามกลางกองเงินกองทอง เขาก็ยังต้องเผชิญกับความเศร้าหมองตรอมใจบ้าง ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง.. เหมือนเธอนั่นแหล่ะนกแล.. อาจจะใช่ ที่เธอเกิดมาพร้อมกับความลำบาก และแม้เธอต้องเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ความทุกข์โศกที่เกิดขึ้นนั้นมันเสมือนเบ้าหลอมที่ก่อตัวเป็นพื้นฐานให้เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง อดทน และดูแลตัวเองมาตลอด ฉันรู้จักเธอดีนะนกแล เราคบกันมานาน...
ฉันเห็นใจเธอเหลือเกินนกแล.. กับบทบาทชีวิตที่เธอต้องประสบ เธอแอบร้องไห้บ่อยในวันแม่ของทุกปี อย่าหาว่าฉันไม่รู้เลย.. รู้ไหมทำไมฉันจึงไม่เคยคิดที่จะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ตัวเองในวันนั้น.. แม้กระทั่งตรงกับวันซึ่งเราทุกคนควรกลับไปพบเจอ และอยู่กับแม่ แต่สำหรับฉันนกแล.. ฉันเห็นใจเธอ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องปล่อยให้เธออยู่คนเดียวและเศร้าหมองกับอดีต แม้แม่ของเธอจะจากเธอไปนานแล้วก็ตาม แต่ฉันก็พอรู้อยู่หรอก ว่าแม่เธอนั้นผูกพันกับเธอมากเพียงไร.. เธอเล่าให้ฉันฟังเสมอ.. สมัยเด็ก พ่อเธอจากบ้านไปนาน เหลือเธอกับแม่สองคนที่ต้องแบกภาระทั้งหมดในครอบครัว แม่เธอเขาเหนื่อยมากแค่ไหน ฉันก็น่าจะพอรู้อยู่หรอก ความเป็นแม่คนมันยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าสิ่งใด โดยเฉพาะแม่ที่ต้องรับหน้าที่ถึงสองอย่าง ทั้งหัวหน้าครอบครัว และหน้าที่ของแม่ผู้ให้กำเนิด เราร้องไห้ด้วยกันเสมอนกแล.. ทุกครั้งที่เธอเล่าเรื่องแม่ให้ฉันฟัง...

ใช่ซินกแล.. ฉันไม่ชอบเล่าเรื่องครอบครัวของฉันให้เธอฟังสักเท่าไหร่.. แม้เธอจะพยายามซักถามเสมอก็ตาม.. แต่ฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน เช่นเดียวกับเหตุผลที่ฉันอยากอยู่กับเธอเสมอในวันแม่ของทุกๆ ปี แต่ฉันก็ไม่เคยลืมที่จะคิดถึงแม่ของตัวเองเหมือนกัน ฉันซื้อของขวัญและส่งจดหมายให้แม่เสมอ.. ใช่แล้วนกแล มันคืออีกเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่เคยบอกเธอ เพราะฉันเห็นใจเธออีกนั่นแหล่ะ ฉันกลัวว่าเธอจะน้อยใจที่ฉันมีโอกาสส่งของขวัญและจดหมายให้แม่ ทั้งๆ ที่เธอก็อยากทำแต่ไม่มีโอกาสอีกต่อไป...

เราต่างก็กำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่นกแล.. วัยที่เราต่างก็ต้องผูกพันกับหน้าที่การงานและความรับผิดชอบมากมายที่กำลังเฝ้ารอให้เราเดินทางผ่านไปประสบพบเจอ อดีตมีคุณค่าเหลือเกินนกแล ทุกครั้งที่ฉันได้หวนคิดกลับไป.. ทุกๆ อย่างไม่ว่าจะดีหรือเลวมันคือชีวิต.. ชีวิตที่ต่างก็ต้องผูกพันมากับความยากลำบากและการมุ่งมั่น.. ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวัยเด็กและวัยรุ่นมันช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นนัก และมันก็ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน.. ฉันยังจำความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กันเสมอ ฉันดีใจที่ได้รู้จักเธอ ได้ผูกพัน และเป็นคนใกล้ชิดของเธอ เราต่างเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากกันและกันมากมาย มันเป็นช่วงเวลาอันคุ้มค่าที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่เข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกัน
เธอเสมือนคนๆ เดียวที่เข้าใจฉันมาโดยตลอด.. ฉันเคยคิดที่จะอยู่ตัวคนเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ใช้ชีวิตผูกพันกับสิ่งที่ตัวเองรักและหวงแหนที่จะทำ แต่มันก็เป็นได้แค่ความรู้สึกในบางครั้งบางคราวเองนกแล.. ฉันก็เกิดความว้าเหว่เหมือนกัน ในบางเวลาที่ต้องสับสนกับชีวิตของตัวเอง หรือต้องพบเจอกับความอ่อนแอของสภาพจิตใจ ฉันต้องการคนที่เข้าใจ รับฟังและอยู่เคียงข้างเช่นเดียวกับเธอนั่นแหล่ะ เราถึงอยู่กันได้มานานจนต่างก็ผูกพันกันดั่งปูปลาที่ต่างก็ต้องพึ่งสายน้ำสายเดียวกัน...

“ฉันอยากเป็นนักเขียน” แน่อยู่หรอกนกแล เธอต้องจำประโยคนี้ได้ดีทีเดียว เพราะมันเป็นประโยคซ้ำซากที่ฉันชอบบ่นให้เธอฟังอยู่เสมอ ถึงวันนี้ฉันก็ยังคิดเช่นนั้น.. ใช่ซิ ฉันเคยฝันและวันนี้ฉันก็ยังต้องฝัน.. ถึงแม้ตัวฉันเองก็ยังไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่ตัวเองถึงจะได้เป็นนักเขียนเต็มตัว ฉันเฝ้าค้นหาอยู่เสมอถึงความหมายของนักเขียนที่ฉันใฝ่ฝัน.. ฉันไม่เคยรู้มาก่อนหรอกว่าการได้เป็น นักเขียน จะทำให้ฉันมีชีวิตอยู่เช่นไร ฉันควรดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างไร ถึงจะเหมาะสมกับการเป็นนักเขียน ทั้งๆ ที่ทุกๆวัน ชีวิตฉันจะต้องผูกพันกับการขีดๆ เขียนๆ เธอน่าจะเข้าใจฉันอยู่หรอก ความฝันคนเรามันไกลเหลือแสน.. มันไม่ได้มีแค่ระยะทางที่ยาวไกล มันยังพ่วงมาด้วยตัวแปรหลายๆ อย่าง และอุปสรรคขวากหนามมากมายที่พาให้เราต้องประสบ แต่ฉันก็ไม่วายที่จะหยุดการก้าวย่างอย่างง่ายดายหรอกนกแล...
มันเป็นเพราะเธออีกนั่นแหล่ะ.. ที่เสมือนดั่งพลังใจของฉัน ชีวิตฉันได้ทำความรู้จักกับคำว่าอดทนและมุ่งมั่นเพราะเธอนั่นแหล่ะ ฉันได้เรียนรู้ความมานะพยายามจากเธอนั่นแหล่ะ.. เธอทำให้ฉันรู้ว่า การดำเนินชีวิตที่อดทนกับความยากเข็ญและการตั้งใจมุ่งมั่นกับสิ่งที่เรารักนั้นมันคือหนทางเดียวที่จะสามารถทำให้เราประสบผลสำเร็จได้.. ดั่งเช่นชีวิตของเธออีกนั่นแหล่ะ แม้ตัวเธอเองจะต้องทุกข์ทนกับความเดียวดาย ความอ่อนแอ และเศร้าหมอง แต่เธอก็ไม่เคยท้อแท้ เธอแสดงให้ฉันเห็นอยู่เสมอถึงความอดทนอดกลั้นกับสภาพของความเปลี่ยวเหงาและการมุ่งมั่นดำเนินชีวิตอย่างนักสู้...
จำได้ไหมนกแล.. หลายๆ ครั้งหลายคราที่ฉันต้องร้องไห้เพราะความสับสนกับหนทางชีวิตของตัวเอง.. เธอคงรู้ดีใช่ไหม กับเส้นทางที่ฉันเลือกที่จะเป็น มันสวนทางกับความคาดหวังของคนทางบ้านฉันมากเพียงไร ใช่ซิ พวกเขาคาดหวังกับฉันไว้ต่างๆ นานา ให้ฉันรีบร่ำเรียนให้จบไวๆ เพื่อจบออกมาจะได้ทำงานมีเงินมีทองไว้ใช้จ่าย และสามารถเป็นที่พึ่งของคนทางบ้าน.. แต่สิ่งที่ฉันเลือกซิ มันคือสิ่งที่ฉันรักและหวงแหนเพียงไรเธอก็น่าจะรู้.. ไม่มีใครสามารถเข้าใจฉันได้เหมือนอย่างเธอหรอกนะ.. กับคนๆ หนึ่งซึ่งเลือกทางเดินของตัวเองให้ประสบกับหนทางที่ดูจะต่ำต้อย ไร้จุดยืนและความมั่นคง พวกเขาได้แต่ไม่เห็นด้วยกับทางเลือกของฉัน แม้มันจะสร้างความเบิกบานใจให้กับฉันมากเพียงไรก็ตาม ก็ยังไม่อาจมีใครที่จะมองเห็นจุดนี้เท่ากับที่เธอเห็นหรอกนกแล.. แต่ยังไงก็ตามเถอะ.. ฉันเลือกทางเดินของตัวเองแล้ว มันคือหนทางเดียวที่ฉันสุขใจมากเสียยิ่งกว่าการได้นั่งๆ นอนๆ บนกองเงินกองทอง หรือการเสวยสุขอย่างผู้มั่งมี ฉันจะเป็นนักเขียน ไม่วันใดก็วันหนึ่งหรอก...

เธอสอนให้ฉันเชื่อมั่นในตัวเองนกแล.. จำได้ไหมชีวิตเธอก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน หลังจากพ่อและแม่เธอจากเธอไป เธอจำต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ต้องเรียนรู้และสู้ทนมาด้วยตัวของตัวเองตลอด.. ฉันชื่นชมเธอจริงๆ เธอคือผู้หญิงที่อดทนและเข้มแข็งเหลือเกิน ความเชื่อมั่นในตัวเองทำให้เธอฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ.. จนเธอประสบผลสำเร็จทั้งในด้านการศึกษาและหน้าที่การงาน.. ไม่เหมือนตัวฉันที่มีพ่อมีแม่คอยส่งเสียมาโดยตลอด แต่ยังอ่อนแอกับเรื่องบางเรื่องซึ่งเธอต้องต่อสู้อย่างเดียวดาย.. จำได้ไหมนกแล เพื่อนๆ ของเราหลายคนหัวเราะเยาะกับงานเขียนอันไร้เดียงสาของฉัน พวกเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องตลกที่ใครคนหนึ่งแต่งเรื่องเล่าขึ้นมาให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อสื่อถึงความรู้สึกเบื้องลึกของจิตใจ พวกเขาคงมองฉันเป็นตัวตลกไปเสียแล้วนกแล ทั้งๆ ที่สิ่งที่ฉันทำ มันก็คือความฝันที่มีสิทธิ์ที่จะเบ่งบานในโลกใบนี้.. แต่ก็มีเพียงเธอนี่แหล่ะที่คอยเข้าใจและให้กำลังใจฉันมาโดยตลอด การกระทำของเธอมันคือแรงผลักดันให้ฉันเชื่อมั่นในตัวของตัวเอง มันคือแรงใจอันมหาศาลที่กอบกู้พลังฝันของฉันให้ลุกโชน...

ฉันจึงมีวันนี้นกแล.. วันที่ฉันยังตั้งหน้าตั้งตาฝึกหัดการเขียนของตัวเองอยู่เสมอ ถึงแม้งานหลายชิ้นที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาจะยังไม่สามารถสื่อความงามและความหมายให้ใครหลายๆ คนได้รู้สึกถึงอรรถรสของวรรณกรรมของฉันได้ก็ตาม แต่พลังฝันที่เป็นพื้นฐานในการต่อสู้ของฉันจะไม่มีวันอิดโรยหรอกนกแล ฉันยังต้องสู้ ต้องฟันฝ่า และพยายามจนกว่าวันหนึ่งหรอกนกแล วันที่ความฝันของฉันคงต้องเป็นจริงขึ้นมาบ้าง.. แม้จะยังคงต้องผ่านอีกยาวนานกาลเวลาก็ตามฉันก็จะสู้นกแล...

การเป็นนักเขียนที่ดีมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนกแล.. ฉันเพิ่งจะมาเข้าใจมันถ่องแท้ก็ต่อเมื่อได้มารู้จักเธออีกนั่นแหล่ะ ตัวเธอและชีวิตเธอมีความหมายเหลือเกินสำหรับการดำรงการเป็นนักเขียนของฉัน ดูซิ.. ถึงแม้พ่อและแม่ของเธอจะไม่ได้อยู่กับเธอก็ตาม แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเธอพาตัวเองออกนอกลู่นอกทาง.. เธอยังคงเป็นคนดีและซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และแน่นอน หากพ่อแม่ของเธอยังอยู่ท่านทั้งสองคงภูมิใจกับตัวเธอมากทีเดียว สิ่งเหล่านี้แหล่ะนกแลที่คอยเตือนสติฉันอยู่เสมอว่า.. การที่เราจะเป็นนักเขียนที่ดีได้นั้น เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองและงานเขียนของตัวเอง ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน ฉันแค่อยากเป็นนักเขียน.. เล่าเรื่องต่างๆ นานา สร้างความงามให้กับเรื่องเล่า ทั้งจรรโลงใจแด่ผู้อ่าน.. แต่เมื่อฉันนำพาตัวเองมาผูกพันการการตั้งหน้าตั้งตาขีดเขียนอย่างเอาจริงเอาจัง การแค่คิด จินตนาการและเขียน มันไม่เพียงพอเลยกับการสร้างวรรณกรรมขึ้นมาสักเรื่องเพื่อให้มันมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิต.. ฉันจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตระหนักถึงความเป็นจริงและความถูกต้อง เพราะวรรณกรรมที่เราขีดเขียนออกมา มันน่าจะเป็นอะไรที่ควรจะมีคุณค่ามากกว่าเป็นสิ่งที่สร้างความงามให้เกิดขึ้นจากการได้อ่าน แต่มันควรจะมีคุณค่ามากกว่านั้น.. ทุกๆ วันนี้ฉันจึงต้องทุ่มเทกับมันมากขึ้นกว่าที่เคย ฉันจำต้องซื่อสัตย์ต่องานของตัวเองเพื่อให้งานทุกๆ ชิ้นที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากห้วงจิตใจของฉันสามารถจรรโลงใจให้กับคนอ่านไม่มากก็น้อยตามเนื้องานแต่ละชิ้น.. ฉันจึงต้องสู้อีกนั่นแหล่ะ ต่อสู้กับความไม่รู้และความสับสนที่เกิดขึ้นจากความเป็นไปรอบข้าง...
การอยู่เฉยๆ จึงไม่เพียงพอเสียแล้วนกแล.. ฉันจำต้องดิ้นรนและพยายามมากกว่านี้ ถึงแม้หลายสิ่งหลายหลายอย่างจะขาดหายไปจากชีวิตบ้างก็ตาม แต่ฉันก็ไม่มีเวลาที่จะต้องมานั่งช้ำใจหรือเสียอกเสียใจกับมันมากเกินไปแล้ว ฉันควรสู้ใช่ไหมนกแล.. เพราะมันคือความฝันและชีวิตจิตใจที่ผูกพันกับตัวฉันเสมือนหนทางแห่งชีวิตที่ฉันย่ำเดินอย่างเบิกบาน...

ฉันเจอที่ของฉันแล้วนกแล.. สถานที่ซึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับฉันในการเริ่มต้นตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้บนหนทางที่ฉันเองเป็นผู้เลือก.. ฉันพาตัวเองออกมาห่างไกลจากวันเวลาเดิมๆ ที่ตัวเองประสบอยู่ทุกวี่วันมาสู่บรรยากาศใหม่ที่ซึ่งทุกๆ อย่างก่อเกิดปริศนามากมายให้ฉันได้ขบคิด ไตร่ตรอง และรับรู้ถึงความเป็นไปรอบข้างจนสามารถมองอะไรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น.. ความสงบของสถานที่ดั่งกล่าวมันเปิดจิตใจและสมองของฉันให้โลดแล่นอย่างพร่างพรู แต่ก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เสมือนสายน้ำที่ไหลรินอย่างสุขุม.. ใช่แล้วนกแล มันเป็นเสมือนถิ่นฐานที่สร้างพื้นฐานการเขียนของตัวฉันเอง ฉันรักโลกใบนี้เหลือเกิน.. ห้วงความฝันที่ค่อยๆ เฉิดฉายรัศมีอันอำไพของความไม่รู้จบในรสชาติของการมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงาน.. ฉันเพิ่งมารู้สึกตัว ณ ที่นี้เองนกแล.. ว่าคนเรามันเกิดมาย่อมไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครที่จะสามารถรอบรู้และเก่งกาจในทุกๆ ด้านได้หรอก การฝึกฝนและการตั้งมั่นเท่านั้นที่จะหล่อเลี้ยงประสิทธิผลในตัวเราให้งอกงาม เฉิดฉาย ดั่งแสงนวลอำไพของดวงดาวที่ส่องสกาวกลางท้องฟ้าในคืนเดือนมืด...
เธอน่าจะหาเวลามาเยี่ยมฉันบ้างนกแล.. เราคงมีเรื่องเล่าที่จะได้มาแลกเปลี่ยนกันอีกเยอะ.. เหมือนสมัยก่อนที่เราต่างมีเวลาพูดคุยกันไม่รู้จบ ต่างก็ครื้นเครงและโศกเศร้าปนเปกันไปบ้าง แต่มันก็คืออดีตที่เสมือนเป็นรสชาติของชีวิตที่ให้เราได้ร่วมลิ้มลองเพื่อให้รับรู้ถึงชีวิต ซึ่งจำต้องหลากหลายอันเป็นสัจธรรมที่คู่มากับช่วงเวลาของการได้โลดแล่นอยู่บนโลกใบนี้...

เธอเห็นหรือเคยรู้สึกบ้างหรือเปล่านกแล.. ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในสังคมปัจจุบันที่เราดำเนินชีวิตอยู่.. ความวุ่นวาย สับสนอลหม่านในสังคมปัจจุบันมันบีบให้หลายๆ คนอยากเข้ามาจุกกันอยู่อย่างแออัด.. ในขณะเดียวกันมันก็คอยผลักดันให้หลายๆ คนถอยห่างออกมาเพื่อค้นพบความสงบที่จำเจจนกลายเป็นความหว้าเหว่ที่เข้ามาทดแทน.. ฉันพอที่จะมองออกมาได้บ้างในมุมมองเช่นนี้.. ความสุขที่ฉันพบเจอจึงดูห่างไกลจากวงเวียนดั่งกล่าว ซึ่งได้แต่ผูกมัดตัวตนของเราให้อยู่อย่างผู้ที่จำใจมอบอิสรภาพของตัวเองให้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและแข็งกระด้าง.. ทางเลือกของฉันจึงถูกกำหนดขึ้นใหม่ด้วยตัวตนและพลังใจของตัวเอง.. เพื่อนำพาตัวเองให้พบเจอกับหนทางอันมากมายที่รอให้ตัวเราเองเลือกที่จะพาสิทธิของตัวเองมากำหนดทิศทางอันเป็นของเราเอง.. ให้ผลงานหรือผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ออกมาตามที่ใจและขอบเขตความฝันเราได้กำหนด
การเดินทางมันเพิ่งเริ่มต้นนกแล.. และฉันเองก็พร้อมเสมอที่จะต้องเผชิญกับอะไร หลายๆ อย่างที่ย่ำกลายเข้ามาหาชีวิตของเราอยู่ทุกๆ ห้วงวินาที...

เสมือนว่า.. นักเขียนทุกคนจำต้องวาดฝันและดำเนินชีวิตตามความฝันอย่างฟันฝ่าและมุ่งมั่นเพื่อเก็บเกี่ยวฝันอันงดงามที่รอคอยการบำรุงและดูแลอย่างดีจากสองมืออันเต็มไปด้วยความหวังและความอบอุ่น.. ทุกๆ วันของฉันจึงเป็นคืนวันที่ห่างไกลจากกฎเกณฑ์และพันธนาการใดๆ ทั้งสิ้น.. มันเป็นทางเลือกที่หฤหรรษ์อยู่พอตัวนกแล.. ฉันต้องฝืนบ้างในบางครั้ง รวมทั้งการต้องยอมรับกับปรากฏการณ์หลากหลายที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว.. เพื่อเก็บเกี่ยวคุณค่าความงามของสิ่งเหล่านั้น มาดัดแปลงผสมคุณค่าเป็นวรรณกรรมที่ถ่องแท้ อำไพ งดงาม และมีประโยชน์ที่สุดต่อการดำรงชีวิตของเพื่อนมนุษย์และสังคมสากล ...
การศรัทธาและตั่งมั่นในสิ่งที่รัก จึงเปรียบเสมือนพลังอันไม่รู้จบที่คนเราแต่ละคนพึงมีเพื่อความมั่นคงในการย่ำกรายบนหนทางของคนต่อสู้...

ดูๆ แล้วมันเสมือนยิ่งทำให้เราห่างไกลกันมากขึ้น.. กว่าเดิมที่เคยเป็นอยู่ใช่ไหมนกแล.. ใช่ซิฉันก็ระลึกอยู่เสมอหรอก คืนวันที่เราเคยอยู่ร่วมกัน พบเจอและร่วมฝันเคียงข้างกัน แต่เธอก็ยังเคยเตือนฉันอยู่บ่อยใช่ไหมล่ะ.. ว่าเราใกล้ชิดกันแต่เสมือนห่างกันไกลแสนไกล ฉันก็รู้สึกอยู่บ้าง ใช่ ฉันเคยรู้สึก และมันก็คงเป็นเช่นนั้น.. ในขณะเดียวกันกับที่ความรักมันโอบรัดเราสองให้ใกล้ชิดกัน แต่ความฝันและวิถีแห่งการสร้างสรรค์มันก็คอยแยกเราสองให้ห่างกันออกไปสู่ถนนชีวิตของแต่ละคนที่ย่อมแตกต่างกันไป.. ใช่แล้วนกแล มันเคยเป็นเช่นนั้นและยังคงเป็นเยี่ยงนั้นตราบจนปัจจุบัน ฉันยังรู้สึกได้ดีเสมอ.. คืนวันมันหมุนเวียนอยู่เสมอและมั่นคง เราต่างก็ต้องย่ำเดินบนวิถีของตัวเอง แต่สำหรับคำว่ารักแล้ว ฉันยอมรับอยู่เสมอถึงพลังอำนาจแห่งความผูกพันที่มั่นคงแข็งแกร่งเสมอตราบวันเวลาที่เราสองคนยังคงต้องพบเจอและรู้สึกถึงกันเสมอมา...
จริงไหมนกแล.. เราต่างก็ยังมั่นคงในความรักที่อบอุ่นเสมอมา...

เธอรู้สึกอย่างที่ฉันรู้สึกหรือเปล่านกแล.. ถึงสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เห็นไหมวันเวลาที่คอยซักล้างคืนวันเก่าๆ เรื่องราวเก่าๆ และวิถีเก่าๆ ออกไปทีละน้อย โดยมีสีสันใหม่ๆ เข้ามาต่อเติมเสริมแต่งอยู่เสมอจนอดีตหรือความงดงามที่เคยทรงคุณค่ากลับกลายเป็นแค่ความล้าหลังที่ค่อยๆ ถูกซะล้างออกไป.. เช่นเดียวกับงานเขียนนั่นแหล่ะนกแล ฉันอยากให้เธอได้รู้เหลือเกินกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสิ่งนี้.. ฉันไม่อาจรู้ได้หรอกว่า ในวันข้างหน้า คุณค่าที่เคยเสมือนเครื่องจรรโลงใจดั่งเช่นวรรณกรรมนั้นจะหมดยุคแห่งการเสพสรรค์เมื่อใด.. หรือทุกๆ อย่างได้ถูกกำหนดแล้ว.. ยุคสมัยของเราคือรอยต่อระหว่างยุคของการอ่าน – เขียน เพื่อไปสู่การรับรู้ด้วยสิ่งอื่นใดที่เข้ามามีบทบาทแทนที่วรรณกรรม.. ฉันไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ นกแล.. สังคมของเราต้องการวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าเพื่อเก็บทั้งคุณค่าและความงามของโลกใบนี้ไว้สืบสานต่อๆ ไป.. ฉันกลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งสิ่งที่ฉันรัก และหวงแหนอย่างที่สุด จะกลับกลายเป็นอดีตที่ถูกมองข้ามและไร้ซึ่งคุณค่าใดๆ ต่อคนรุ่นต่อๆ ไป...
ฉันคิดเห็นเช่นนี้จริงๆ นกแล.. ทำให้ฉันจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำพาชีวิตทั้งชีวิตของตัวเองมุ่งมั่นฝึกฝนและสร้างสรรค์งานขึ้นมาให้ทรงคุณค่ามากที่สุด.. เพื่อคุณค่าและความงามที่เกิดขึ้นจากชิ้นงานแต่ละชิ้นนั้นสามารถเป็นสิ่งหนึ่งที่คอยจรรโลงโลกและเสริมสร้างความงามให้กับชีวิตได้ไม่มากก็น้อย.. ฉันเลือกทางเดินของตัวเองแล้ว.. มันคือหนทางอันทรหดที่จำต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการทั้งทางตรงและทางอ้อม.. แต่ฉันก็ไม่วายที่จำต้องฝึกปรือและหมั่นเพียรพยายามต่อสู้นกแล.. เธอคงจะเข้าใจความรู้สึกของฉันดี...

อีกอย่างหนึ่งนกแล.. ที่ฉันอยากบอกเธอเหลือเกินถึงสภาพความเป็นจริงที่คนเขียนอย่างฉันและอาจจะเป็นใครอีกหลายๆ จำต้องพบเจอ.. ใช่ซิ หลายๆ สิ่ง ที่ฉันได้เล่าผ่านเรื่องราวทั้งหมดข้างต้นอาจสื่อให้เธอเห็นถึงพลัง.. ความมุ่งมั่นและจิตวิญญาณการต่อสู้ของคนอย่างฉัน และอีกหลายๆ คนที่นำพาชีวิตของตัวเองมาสู่เส้นทางสายวรรณกรรม.. มันคือความ...หว้าเหว่นกแล มันคือความเหงาที่ก่อตัวขึ้นพร้อมๆ กับความเดียวดายที่เราต่างก็ล้วนตั้งใจนำพาชีวิตของตัวเองให้มาพบเจอ.. มันเปรียบเสมือนหนทางที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ มันเป็นความรู้สึกที่เราต่าง ก็จำต้องพบเจออยู่เสมอ.. มันเริ่มต้นขึ้นในขณะเดียวกันกับหลายๆ สิ่งที่เราพบเจอและตั้งใจพบเจอ มันก่อตัวขึ้นอย่างเงียบในมุมและช่วงขณะเวลาที่สงบที่สุดในวันเวลาที่เราจำต้องเผชิญกับความเดียวดาย.. ฉันเองก็พบเจอมาตลอด จนบางครั้งก็รู้สึกชินชากับมัน.. แต่บางครั้งอำนาจของมันก็ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินจนความเบิกบานใจที่เรามีอยู่บ้างในชีวิตก็มิอาจมีอำนาจเพียงพอที่จะต่อกรกับมันได้ แต่เราก็พยายามที่จะอยู่ร่วมกับมันให้ได้.. เพราะมันคือบทพิสูจน์ความอดทนที่เราทั้งหลายจำต้องเรียนรู้ใช่ไหมนกแล...

เราไม่ได้เจอกันเสียนานนกแล.. วันเวลามันย่ำกรายไม่เคยหยุดเลย.. ทุกๆ วันเราจำต้องตื่นขึ้นมาเพื่อพบเจอกับอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ.. แม้เราจะไกลกันพอสมควรแต่ฉันก็รู้สึกเหมือนเราไม่เคยห่างกันเลย.. เรายังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันเสมอ.. รู้ไหมนกแล เธอเสมือนกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับฉัน และฉันก็ดีใจที่ได้ผูกพันกันคนอย่างเธอ ไม่มีกำลังใจจากใครที่จะดียิ่งไปกว่าการได้รับกำลังใจจากคนที่รักและเข้าใจตัวเราได้ดีเสมอ.. เธอเป็นคนที่เข้าใจฉันดีมาตลอดนกแล.. ฉันไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตัวเองจะได้มาเป็นคนที่ยังตั้งหน้าตั้งตาขีดเขียนอยู่เสมอ.. ในบางครั้งที่เราอยู่ร่วมกัน ฉันกลัวมาตลอดว่าวันเวลาจะแปรเปลี่ยนตัวฉันให้ย่ำเดินไปตามเส้นทางที่ฉันไม่ได้ปรารถนา.. แต่การได้เป็นคนร่วมใช้ชีวิตกับเธอมันทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงพลังฝันของตัวเองที่จะย่ำเดินบนทางสายนี้.. ซึ่งเสมือนดั่งชีวิตจิตใจของตัวเองที่ถูกกำหนดมาให้ควบคู่กับตัวฉัน.. ฉันต้องขอขอบใจเธอจริงๆ นกแล...
เช่นเดียวกันนกแล.. อย่างหนึ่งที่ฉันสามารถมอบให้กับเธอ.. อย่างที่เธอเคยให้ไว้กับฉัน คือกำลังใจที่เสมือนดั่งพลังชีวิตให้เธอได้ก้าวเดินอย่างเปรมปรีดิ์.. สิ่งที่ฉันเล่ามาทั้งหมดมันคือตัวฉันและก้าวย่างของตัวฉันในวันนี้และสิ่งที่ฉันต้องประสบพบเจอ.. เราจำต้องเป็นเช่นนี้ จำต้องต่อสู้กับภายในของตัวเอง และจำต้องมุ่งมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ.. พฤติกรรมเหล่านี้อาจดูแปลกแยกไปบ้างเมื่อเทียบกับบุคคลทั่วไปในสังคม แต่ทุกคนก็ย่อมมีเหตุผลของตัวเองเสมอใช่ไหมนกแล...

ฉันอาจจะไม่เคยบอกเธอนกแล.. กับบางสิ่งบางอย่างที่รู้สึก.. แต่มันก็แค่นั้นแหล่ะนกแล.. บางอย่างมันซับซ้อนเกินจนฉันไม่รู้ว่าจะสาธยายอย่างไรให้เธอได้เข้าใจถ่องแท้ถึงความรู้สึกเบื้องลึก.. ฉันเกรงกลัวกับคำพูดของตัวเองเหลือเกิน.. เสมือนกับการเกรงกลัวที่จะเขียนเรื่องขึ้นมาสักเรื่องนั่นแหล่ะ.. มันคือเหตุผลเดียวกันกับการที่เราต้องพยายามทุ่มเท ศึกษา ไตร่ตรองและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจริง.. ก่อนที่เราจะสามารถเขียนหรือสื่อสารออกมาได้นกแล.. มันเป็นเช่นนั้นเสมอ...

เส้นทางเช่นนี้มันท้าทายคนอย่างเราเหลือเกินนกแล.. มันอยู่กึ่งกลางระหว่างความง่ายและความยาก กับ ความสุขใจและความลำบากยากเข็ญ.. ฉันต้องประสบกับภาวะเช่นนี้เสมอ เราจำต้องต่อสู้กับอำนาจบางอย่างที่คอยฉุดรั้งให้เราหลีกหนีจากความรักและความอยากที่จะทำ.. บางครั้งฉันก็มีความรู้สึกว่า.. สิ่งนี้มันไม่ได้ทำให้ชีวิตของฉันดีขึ้นได้เลย.. มันดีแต่ทำให้ตัวเองจมลงไปกับความเหงา หรือความหว้าเหว่ที่เข้ามากดทับความเดียวดายอยู่เสมอ.. แต่สิ่งที่ได้พบเจอหลังก้าวข้ามอำนาจเหล่านั้นนะซิ นกแล.. มันมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่เหลือเกินที่ทำให้ฉันได้พบกับความมุ่งมั่นอันใหญ่หลวงที่เข้ามาเสริมสร้างให้ทั้งจินตนาการและพลังฝันของฉันลุกโชนอยู่เสมอ.. มันคือผลลัพธ์ที่เกิดจากการมานะพยายาม และความอดทน นกแล...
อยากให้เธอรู้เหลือเกินนกแล.. ถึงความเป็นไปเบื้องหลังความมุ่งมั่น ที่คนอย่างฉันจำต้องประสบ.. หลากหลายอารมณ์และความรู้สึกมันแล่นผ่านเข้ามาในทุกย่างก้าวของชีวิต จนบางครั้งเสมือนคลื่นลูกใหญ่ที่โถมซัดเรือลำน้อยที่ฝากทั้งๆ ชีวิตไว้บนผืนน้ำทะเล เราไม่อาจควบคุมได้เลย.. ได้แต่ปลดปล่อยตัวเองให้โอนเอนไปตามแรงลม แรงคลื่นซึ่งจะพัดพาให้เราพบเจอกับอีกหลากหลายความรู้สึก เบื้องหน้า......

ณ เรือนศิลป์กะรักษ์