วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จิตวิญญาณแห่งสังคม









จิตวิญญาณแห่งสังคม (จากใจคนพันธุ์ MaD 1/2010)

เมื่อแสงแรกแห่งวันของดวงอาทิตย์เฉิดฉายรัศมีสาดส่องผืนฟ้าเป็นสีหมากสุกเหนือผืนป่าโกงกาง ม่านหมอกซึ่งปกคลุมเป็นฝ้าเหนือน่านน้ำก็ค่อยๆ ลบเลือนจางหาย แสงอ่อนๆ ยามเช้าของดวงสุริยันสาดลอดผ่านยอดไม้สู่น่านน้ำก่อประกายระยิบระยับประหนึ่งอัญมณีเหนือผืนน้ำ นกกาส่งเสียงกู่ร้องขณะกางปีกออกจากรวงรังโบยบินสู่ทิศตะวันตก สายน้ำในลำคลองเคลื่อนไหวเอื่อยๆ ตามแรงหนุนจากทะเลใหญ่..ค่อยๆ หนุนเข้ามาเรื่อยๆ ช้าๆ สุขุมจนท่วมท้นตลิ่งในครู่ต่อมา..เสียงคำรามจากเครื่องยนต์ท้ายเรือหัวโทงริมฝั่งคลองหลายๆ จุดเริ่มส่งเสียงประกาศศักดาของนักผจญทะเลใหญ่ บางลำเริ่มเคลื่อนตัวออกช้าๆ แหวกสายน้ำและลมอุ่นยามเช้าสู่แห่งหนใดแห่งหนหนึ่งกลางผืนทะเลอันไพศาล.. ในลำเรือเหล่านั้นถูกบรรจุไว้ด้วยสัมภาระ เครื่องไม้เครื่องมือ และความหวังที่จะคืนฝั่งในวันพรุ่งพร้อมปูปลามากมี.. มันคือปรากฏการณ์แห่งชีวิตยามเช้าของวันใหม่ ที่ก่อเกิดขึ้นเป็นความหวังใหม่แด่สรรพสิ่งทั้งปวง...
เฉกเช่นเดียวกันกับปรากฏการณ์อื่นๆ ซึ่งก่อเกิดอย่างสงบผสานรวมกันเป็นกงล้อแห่งชีวิต มันถูกขับเคลื่อนเชิงลึกด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ.. จิตวิญญาณซึ่งเสมือนก้นบึ้งแห่งการเคลื่อนไหว แห่งความอ่อนโยนเรียบง่ายและมั่นคง....

มีคนเคยบอกว่าชีวิตของมนุษย์ดำเนินอย่างถูกต้องตามครรลองธรรมด้วย “เรื่องเล่า”.. หรือศิลปะที่มุ่งเน้นเพื่อการชี้นำชีวิต หลากหลายเรื่องราวต่างๆ ในแต่ละยุคสมัยถูกถ่ายทอดผ่านงานศิลปะหลายๆ แขนง ไม่ว่าจะเป็น จิตกรรม ดนตรี กวีหรือวรรณกรรม ผลงานที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแยบยลจนผู้เสพไม่สามารถแยกแยะออกได้ถึง ความจริง ความรู้สึกและความงามที่ถูกผสมผสานไว้อย่างกลมกลืนโดยศิลปิน นักเขียน หรือนักเล่าเรื่อง.. เหล่านี้อาจชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงบทบาทหรือหน้าที่ของนักเล่าเรื่อง หรือศิลปิน ที่มีหน้าที่เสมือนเลขานุการแห่งยุคสมัย ซึ่งคือผู้สั่งสม วิเคราะห์ และถ่ายทอดเรื่องเล่าอย่างงดงาม เพื่อบอกเล่าถึงความเป็นมา ความงาม และความรู้สึกผ่านองค์ประกอบต่างๆ จนนอกเหนือจากการเก็บไว้เพียงเพื่อเป็นเรื่องเล่าสืบทอดสู่รุ่นต่อๆ ไป คือการสร้างบทเรียนอันล้ำค่าให้กับคนในรุ่นต่อๆ ไป..
เช่นเดียวกับเรื่องเล่าทั้งหมดในวารสารรายวันเวลาที่เหมาะสมฉบับนี้ ก่อนหน้านี้และอีกหลายๆ ฉบับที่ยังรอคอยวันเวลาที่เหมาะสมไว้สั่งสมความงาม ความจริงและความรู้สึกถ่ายทอดออกมาในวาระต่อๆ ไป ทั้งหมดนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานอันจัดเจนและงดงามเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นเราและแนวทางของเรา..ความหมายหรือคุณค่าที่ไม่อาจอ้างถึงได้นั้นจักต้องคงอยู่เสมอ ตราบหนทางที่ต่างดำเนินและเผชิญอยู่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง งดงาม และรู้สึกได้...
เรื่องเล่าของจิตวิญญาณแห่งสังคม ย่อมต้องเป็นหลักฐานแห่งสังคม ซึ่งมันจะยังคงอยู่สืบไป..


ขอส่งแรงใจแด่ทุกๆ ท่าน ผู้ซึ่งทุ่มเทแรงกายและใจผลักดันสังคมสู่ความสมดุลและสงบสุข..เราทำดีที่สุดแล้ว..ความดีงามที่ต่างร่วมสร้างกันนั้น จำต้องรอคอยวันเวลาที่เหมาะสมเช่นกัน เพื่อสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ค้ำจุนสันติสุขสืบไป...

ด้วยไมตรีจิต
อินทรธนู

ฉันจึงเข้าใจ


ฉันจึงเข้าใจ (จากใจคนพันธุ์ MaD 3/2009)

ณ ที่ซึ่งสายน้ำหลากไหลขึ้นลงตามเส้นทางแห่งดวงจันทร์.. ใบไม้เขียวขจีประหนึ่งผิวมรกต.. อณูแห่งความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์โชยพัดแฝงมากับสายลมหนาว.. เรือหัวโทงจอดเทียบท่าโยกย้ายเบาๆ ตามแรงขึ้นลงของคลื่นน้ำในคลองอันสงบ และสุขุม.. ฝูงปลาแหวกว่ายอย่างเริงร่าในผิวน้ำ สายลมพัดโชยให้ปลายยอดหญ้าทะเลซึ่งขึ้นแซมต้นพังการิมคลองเอนไหว.. ความสงบซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ผิวเปลือกอันเปราะบางของความขัดแย้งอย่างสุขุม... ผมเห็นสิ่งนั้นขณะก้าวย่างอยู่บนทางเดินแห่งวิถีของความเรียบง่าย...
ความสงบอยู่ไหน? คำถามเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งท่ามกลางความโกลาหลแห่งสังคมของการผลิตและความนิยมการบริโภคอย่างเกินเหตุ.. และเราก็ไม่เคยพบเจอกับคำตอบนี้เสียที แม้บางครั้งต้องแลกมาด้วยสิ่งมีค่ามากมาย ความเหนื่อยล้าอิดโรย และการต้องยืนหยัดต่อสู้.. บางคนเคยต้องสู้ด้วยชีวิต เกือบต้องแลกทุกอย่าง.. แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ อาจด้วยความอ่อนล้าหรือเหตุผลอื่นๆ ซึ่งมิอาจนำพาให้พบเจอกับคำตอบดังกล่าว..
บางคนอาจมีเวลาทบทวนถึงเหตุผลของการเป็นอยู่ แล้วดำเนินชีวิตตัวเองให้สอดคล้องกับสรรพสิ่งอื่นๆ อย่างเรียบง่าย แต่ก็มิอาจพบเจอความสงบได้อย่างถาวร เพราะขอบเขตแห่งสังคมมันกินพื้นที่กว้างใหญ่เกินใครคนใดคนหนึ่งจะสามารถปล่อยชีวิตตัวเองให้ไหลรินดั่งสายน้ำได้...
ความวุ่นวายในสังคมเกิดขึ้นที่ไหน? คงไม่ใช่จากเสียงท่อไอเสียรถยนต์ที่ขับเคลื่อนไปมา, เสียงบิดคันเร่งจักรยานยนต์อย่างเมามันของเหล่าสิงห์นักบิดบนถนนคอนกรีต, ตัวเลขของดัชนีวัดค่าต่างๆ ที่ขึ้นลงเร็วเสียยิ่งกว่าการเต้นของหัวใจคนเรา.. และก็คงไม่ใช่จากการเคลื่อนย้ายอย่างแข็งขันของขบวนสินค้าจากแหล่งผลิตสู่ความต้องการบริโภคเช่นกัน.. เหล่านั้นเสมือนผลซึ่งมีเหตุก่อให้เกิดขึ้น จากอำนาจเล็กๆที่ซ่อนเร้นอย่างสุขุมภายใต้เลือดเนื้อ.. และมันก็ย่อมเกิดขึ้นกับสังคม ในเมื่อสังคมคือการรวมตัวของผู้คนซึ่งมีความอยากเช่นกัน..
ผมจึงรู้สึกว่าอำนาจในการสร้างความวุ่นวายเป็นอำนาจเดียวกันที่จะสามารถนำพาให้เราพบเจอกับความสงบได้..............

ต้องขออภัยหากการรับสารในครั้งนี้ล่าช้ากว่ากำหนด.. วารสารรายวันเวลาที่เหมาะสมย่อมต้องอยู่เหนือกฎเกณฑ์หรือกรอบใดๆทั้งสิ้น แต่ทางเราก็จำต้องพยายามรักษาวินัยและความรับผิดชอบในการสร้างสรรค์สาระเช่นนี้ให้คงอยู่อยู่เสมอ แม้อาจจะต้องล่าช้าเสียบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องทำให้การร่วมสร้างสรรค์ต้องรีบเร่งเฉกเช่นการสนองตอบความต้องการบริโภคอย่างบ้าคลั่ง.. เราไม่ได้ผลิตสินค้า หากแต่ทุกๆ กระบวนการคือการสร้างฝันเล็กๆ ให้ซึมซาบอยู่บนวิถีแห่งความเป็นจริง..
วาระ 5 ปี แห่งดาหลานำพาความปิติและยินดียิ่งสำหรับผองเรา ปีใหม่ๆ และวันเวลาใหม่ๆ ก็เช่นเดียวกัน มันจะนำพาแต่ความสุข และความน่ายินดีเสมอ หากเป็นความต้องการร่วมของสังคมเรา.. บุคคลทั้งหมดที่เขียนหรือถ่ายทอดความรู้สึกและทัศนคติของพวกเขาลงในวารสารฉบับนี้ย่อมรู้สึกได้ดี และยังคงมุ่งมั่นอยู่ในวิถีเช่นนี้...

ขอให้ประสบสุขกันถ้วนหน้า...
อินทรธนู

Looking without Glasses


จากใจคนพันธุ์ MaD 2/2009 (Looking without Glasses)

วัยหนุ่มสาวมันสั้นนัก... เมื่อเทียบกับวันเวลาอันยาวนานที่ชีวิตของคนเราต้องผูกพันกับภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและความว้าเหว่ในวัยถัดไป หลายคนผ่านวัยเด็ก (วัยแห่งการเรียนรู้) เพื่อมุ่งสู่วัยผู้ใหญ่อย่างรีบเร่ง หรือกระทันหัน ด้วยบางอย่างที่คอยผลักดัน หรือการยินยอมพาตัวเองข้ามผ่านวัยแห่งการแสวงหาอย่างไม่ทันยี่หระต่อสิ่งใด...
Looking without Glasses (การมองโลกโดยไม่ต้องผ่านเลนส์ใดๆ) อาจหมายถึงการมองหรือการสัมผัสคุณค่าของชีวิตคนเราโดยไม่มีกรอบหรือกฎเกณฑ์ คอยขวางกั้นคอยกำหนดมาตรฐานผลลัพธ์ของการมองหรือการดำเนินชีวิตของเรา.... เราอาจเห็นหรือสัมผัสคุณค่าที่ล้ำลึกกว่า ชัดเจนกว่า ด้วยธรรมชาติหรือสัจธรรมที่เป็นความจริงของโลกและชีวิต...
เนิ่นนานมาแล้ว ที่วิทยาการและนวัตกรรมใหม่ๆ บนโลกใบนี้ได้พัฒนามาจนสามารถเป็นกรอบหรือขอบเขตให้มนุษย์ใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและประกันความมั่นคงให้กับชีวิต... ทางเลือกเดียวที่หลายคนอ้าแขนรับมาใช้ในการดำเนินชีวิต จึงเป็นกฎเกณฑ์เดียวกันซึ่งมีแบบแผนตายตัว...แข็งกระด้าง...
Looking without Glasses (การมองโลกโดยไม่ต้องผ่านเลนส์ใดๆ) ไม่ได้เป็นการมองโลกแบบใหม่ แต่คือการมองโลกอย่างที่ธรรมชาติกำหนดให้กับคนเรา.. ได้เห็นและเชื่ออย่างที่ตาเห็นและใจรู้สึก...ว่าโลกและชีวิตมันมากกว่านั้น..

เยี่ยงเดียวกับสารทั้งหมดในวาระนี้ อยากให้ผู้อ่านลองถอดแว่นหรือตั้งใจอ่านโดยไร้ข้อกังขาในเรื่องของภาษา ความงามหรือใดๆ ทั้งสิ้นดู เผื่อบางที่เสียงบริสุทธิ์ที่มาจากคนหนุ่มสาวทั้งหลายที่ได้มาร่วมแรงร่วมใจปั้นวารสารฉบับนี้ขึ้นมาอาจบอกอะไรเราได้บ้างไม่มากก็น้อย....

ท้ายของวาระนี้ ผมขอส่งแรงใจแด่คนหนุ่มสาวทุกคนผู้รักการแสวงหาคุณค่าแห่งชีวิต...ขอให้เดินตามความเชื่อของเราเอง... ชีวิตและโลกมันมากกว่านั้น...

โชคดีและไมตรีจิต

อินทรธนู

เผยแพร่สารบริสุทธิ์ (จากใรคนพันธุ์ MaD 1/2009)
“ใบไม้แห้งหลุดร่วง พรากกิ่งก้านแห่งไม้ใหญ่ ปลิวว่อนลงสู่ผืนดินอย่างสงบ ยอดหญ้าเอนไหวเฉื่อยชาตามทิศทางของกระแสลมอ่อนไหวคงชีวิตชีวา สายน้ำอันฉ่ำเย็นไหลเชี่ยวกรากลงสู่เบื้องล่างผ่านโขดหินอย่างสุขุม เหล่าผีเสื้อหลากสีบินว่อนไปมาแวะเวียนเชยชมความหอมหวานแห่งพฤกษานานาพันธุ์ นกบางตัวโผบินเรื่อยเปื่อย บ้างแวะพักพิงกิ่งไม้ใหญ่ ส่งสรรพสำเนียงเสียงเริงร่าก้องพนา..... เหล่านี้ คือสัจธรรมแห่งความสุขสงบที่ยังขับเคลื่อนอยู่เสมอ”

สิ่งที่ชัดเจนและลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าการพยายามเผยแพร่คุณค่าหรือความงามดั่งที่ว่า คือการที่มนุษย์ต่างตระหนัก และคอยสตรับรับฟังสรรพสำเนียงเสียงแห่งความสงบ อันเยือกเย็นและสุขุมของธรรมชาติ อีกทั้งความต้องการเบื้องลึกของตัวเอง..

โดยส่วนใหญ่ นอกเหนือความต้องการขั้นพื้นฐานของตัวตนและสังคม คือการต้องการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ท่ามกลางความสงบสุขและสมดุลกับสภาวะแวดล้อม หากแต่การดำเนินชีวิตในปัจจุบันกลับตรงกันข้าม.. อาจเนื่องด้วยพัฒนาการด้านต่างๆ ที่เจริญก้าวหน้ามากขึ้น กลับส่งผลกระทบให้มนุษย์เราต่างต้องการลุกขึ้นสู้เพื่อการแข่งขัน และการนำพาตัวเองสู่ความขัดแย้งที่มีแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น.. ความต้องการความสงบสุขทั้งทางสังคมและจิตวิญญาณของตัวตน จึงถูกกลบฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ด้วยเจตนารมณ์ใหม่ที่ดีแต่จะสร้างความโกลาหลแก่ตัวเองและผู้อื่น..
เราค้นพบความสงบสุขของชีวิตได้หรือ ??.. ในเมื่อทุกๆ ย่างก้าวแห่งชีวิต ถูกพันธนาการด้วยสรรพเสียงแห่งความเจริญก้าวหน้าของอารยะธรรมสมัยใหม่ ความโกลาหลแห่งสังคมเมือง มลภาวะทางการสื่อสารที่ดีแต่จะยัดเหยียดให้เราต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เพียงเพื่อความพร้อมต่ออำนาจในการจับจ่ายขบวนสินค้าอันมหาศาลที่ถูกผลิตออกมาจนล้นความต้องการอย่างแท้จริงของมนุษย์.... เราหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์เหล่านี้ได้หรือ ??.. ในเมื่อความก้าวหน้าในทุกๆ ด้านล้วนเกิดขึ้นมาจากพื้นฐานของความพึงพอใจและความต้องการความสะดวกสบายของตัวเราเอง...
อย่างไรเสีย แม้เราไม่อาจบรรจุความสงบสุขถ่ายทอดลงในถ้อยคำเหล่านี้ได้ หากแต่ปรากฏการณ์อันหลากหลายที่เกิดขึ้น ได้ถูกบรรยาย ถ่ายทอดความรู้สึก คุณค่า ผ่านอักษรและภาพความทรงจำในวารสารฉบับนี้ คงน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น “การเผยแพร่สารบริสุทธิ์” สู่สังคม ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่การสื่อสารที่เรียบง่าย ไม่กึกก้อง หรือสามารถกู่ร้องเรียกให้ใครมาสนใจสตรับได้ หากมันคือความเรียบง่ายซึ่งไหลกรากสู่ก้นบึ้งแห่งความสงบของน่านน้ำแห่งความสมดุล อันช่ำเย็นและสุขุม...

จนกว่าวันเวลาจะเหมาะสม
ก๊วง ชุบแดง

ทลายกำแพงระหว่างเรา




จากใจคนพันธุ์ MaD 3/2008: ทลายกำแพงระหว่างเรา

ท่ามกลางกระแสความโกลาหล ความสับสนวุ่นวาย และความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งรูปธรรมและนามธรรมในสังคมไทยและสังคมโลก ขณะเดียวกันกระบวนการการรับรู้ของอนุชนรุ่นต่อไปก็ได้ดำเนินการสู่ความพร้อมต่อวัฎจักร บ่วง หรือความซ้ำซากที่จะเกิดขึ้นเช่นเคยในภายภาคหน้า

สิ่งนี้อาจดูเป็นความละเอียดอ่อนบางอย่างที่เราต่างมองข้าม หรือลืมที่จะนึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพราะต่างฝ่ายต่างก็มุ่งสู่เป้าหมายของตัวเอง พรรคพวก หรือเหล่าผู้ที่เลื่อมใสในความคิดเห็นตรงกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แม้ผลที่ตามมาคือประเทศหรือผืนแผ่นดินต้องตกอยู่ในสภาพเละเทะก็ตาม

สิ่งที่เราส่วนใหญ่ต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษกับประวัติศาสตร์ในอดีต ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของชัยชนะของแต่ละกลุ่มชน ตำนานวีรบุรุษ หรือเหล่าตำราพิชัยสงครามต่างๆ การต่อสู้ของมนุษย์จึงดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น ในเมื่อความหลากหลายของมนุษย์ยังเป็นปัญหาในการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม เพราะถึงกระนั้นก็จะต้องมีการต่อสู้เพื่อกอบกู้หรือเรียกร้องอีกเช่นเคย จึงกลายเป็นการแบ่งแยกที่ยากจะจบสิ้น

เป็นเรื่องยากที่จะสร้างสันติสุขและภราดรภาพอย่างยั่งยืนในเมื่อการรณรงค์ หรือการลุกขึ้นสู้อย่างจริงจังเพื่อความสันติถูกนำมาใช้เมื่อถึงคราจำเป็นเท่านั้น หรือถึงแม้ว่าจะมีการยุติความรุนแรงลงบ้างแต่ก็ยังมีเชื้อไฟบางส่วนที่ยังรอคอยการมอดไหม้ลุกลามต่อไปไม่จบสิ้น สันติภาพจึงกลายเป็นสิ่งชั่วคราว ไม่ยั่งยืน ตราบใดที่ทุกๆ ฝ่ายยังขาดสติ และความซื่อสัตย์ในบทบาทหน้าที่ของตัวเองในสังคม
ท่ามกลางกระแสความโกลาหล สับสนวุ่นวาย และความรุนแรงต่างๆ ข้างต้น สิ่งเล็ก สิ่งน้อยๆ อย่างความเกลียดชัง ความระแวง การแบ่งพรรคแบ่งพวก และอีกหลายๆ อย่างกำลังหลอมรวมกันอย่างมั่นคงเป็นกำแพงขนาดมหึมาขวางกั้นมนุษย์ด้วยกัน ซ้ำเติมพรมแดนเดิมที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้อำนาจที่นับวันยิ่งทวีความมั่นคงและถาวรนั้นหาใช่ความสันติสุขไม่ แต่กลายเป็นพรมแดนหรือกำแพงระหว่างมนุษย์ด้วยกันที่แข็งแกร่ง ทนทาน และยากที่จะทำลายลงได้ กลายเป็นต้นตอของอีกหลายๆ การต่อสู้ที่นำไปสู่ความรุนแรงต่อๆ ไป สิ่งที่ยากกว่าการพยายามยุติสงครามหรือความรุนแรงในภายภาคหน้า คือการทำลายกำแพงหรือพรมแดนที่กีดกั้นมนุษย์ด้วยกันเอง กำแพงซึ่งกีดกั้นการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน กำแพงซึ่งเกิดจากความเกลียดชัง กำแพงที่เกิดจากการต้องการแบ่งชนชั้น หรือแบ่งแยกตามลักษณะหน้าตาและรูปร่าง กำแพงที่เกิดจากการยึดมั่นในความเชื่อและเลื่อมใสในภูมิปัญญาของฝ่ายตัวเอง และไม่ยอมรับในความเชื่อของผู้อื่น กำแพงที่เกิดจากความโกรธ อาฆาตแค้น ความอิจฉาริษยา ความตระหนี่ และอีกมากมาย กำลังก่อตัวร่วมกันเป็นปึกแผ่น และมั่นคงยิ่งใหญ่และถาวร

การยืนหยัดต่อสู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน เรียนรู้ร่วมกัน และทำงานร่วมกันได้อย่างสันติสุขในสังคม จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไปตราบนานเท่านาน เพื่อร่วมกันสร้างกระแสใหม่ที่เป็นพลังค้ำจุนความดีงามในสังคม ลดกำแพงหรือช่องว่างระหว่างมนุษย์ลง เพื่อให้สังคมที่มีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ลักษณะกายภาพ ภาษา หรือแม้แต่ความเชื่อ สามารถดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างสันติถาวร (อาจดูเป็นการเพ้อฝัน ที่จะสามารถสร้างสังคมที่ดีและสงบสุขร่วมกันอย่างถาวร แต่หากกำแพงดั่งที่ว่าถูกทำลายลง ในจิตใจของมนุษย์ก็จะเหลือแต่ความดีงาม ซึ่งความดีงามคือจุดเริ่มต้นของสันติสุขอย่างถาวร)

จนกว่าเวลาจะเหมาะสม
ก๊วง ชบแดง