วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น คนคอย


โรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว.. ฉันแค่ไม่อยากให้ลีน่าต้องน้อยหน้าใคร ลูกเราต้องมีโอกาสสวมชุดนักเรียนใหม่บ้าง.. ฉันคิดเห็นแค่นี้เอง ไม่นึกเลยว่าบังจะเคืองถึงเพียงนี้..

บังไม่รอฉัน.. แค่เก็บเสบียงกรังบางส่วนใส่เรือออกไปพร้อมกับลูกน้องอีกสอง น้ำในคลองยังขึ้นไม่เต็มที่ พยายามเร่งขนสัมภาระอีกส่วนหนึ่งตามมา พอถึงท่าเรือ ก็เห็นเรือบังออกไปไกลมากแล้ว.. ฉันไม่เข้าใจบังเลยสิ้นดี..

ฉันกับบังหรนแต่งงานกันมาเกือบสิบปี ก่อร่างสร้างครอบครัวมาด้วยการออกทะเลลากอวนปลาทราย งานมันทรหดน่าดู ไหนจะต้องพาเรือแหวกเกลียวคลื่น ลม ท้องฟ้าที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไหนต้องเสาะหาแหล่งปลาชุม.. งานมันหนักและเสี่ยงเหลือเกิน บังเองก็ไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยเกี่ยงเลยสักครั้งที่จะลุกขึ้นพาตัวเองออกผจญทะเลใหญ่ ก่อนเราจะมีลีน่าเป็นลูกสาวคนแรก ฉันเองต้องออกทะเลกับบังอยู่ทุกครั้ง จนเดี๋ยวนี้ทั้งดูแลลูกสาวและงานบ้าน ฉันเลยต้องอยู่เป็นแม่บ้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบังและลูกน้อง

ทุกครั้งก่อนบังจะออกเดินทางในตอนเที่ยงคืนซึ่งน้ำในคลองจะขึ้นจนล้นตลิ่ง พอให้การเดินเรือสะดวก ฉันจะปล่อยให้บังและลูกน้องนอนพักเอาแรงเต็มที่ตั้งแต่เย็น ที่เหลือเป็นหน้าที่ฉันคนเดียวที่จะต้องจัดเตรียมข้าวของ เสบียงกรัง จัดห้องเก๋งเรือ วิดน้ำเรือ ทั้งหาซื้อน้ำมันมาเตรียมความพร้อมไว้.. รอจนถึงเวลา ก็จะปลุกบังและลูกน้องให้เตรียมออกเรือ.. เป็นเช่นนี้เสมอ เราช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน..

ถึงครั้งนี้ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบัง หรือฉัน.. เมื่อเช้าของวันที่บังจะเริ่มออกเรือ เราถกเถียงกันเรื่องการใช้เงิน.. บังยังไม่อยากให้ฉันใช้เงินในส่วนที่ไม่จำเป็นมากนัก ทั้งภาระเรื่องซ่อมแซมบ้านและค่าเช่าเรือยังหนักโข เราต้องเร่งเก็บเงินชำระเสีย..แต่ฉันเองก็มีเหตุผลเช่นกันหรอก..

ปีนี้ลีน่าขึ้น ป. สามแล้ว อย่างน้อยแกก็ต้องมีโอกาสสวมชุดนักเรียนใหม่ได้แล้ว.. ฉันไม่อยากให้ลูกต้องน้อยหน้าใคร.. ลูกเราสวมชุดนักเรียนเก่าเกินไป สีเริ่มหมองแล้ว เปิดเทอมใหม่เช่นนี้ลูกเราคงดีใจที่ได้สวมชุดใหม่..

แต่บังหรนกลับไม่เห็นด้วย.. บังบอกเรายืดเวลาซื้อชุดใหม่ให้ลีน่าไปอีกหน่อย ค่าเช่าเรือที่ต้องสะสางกับเถ้าแก่มันใกล้กำหนดเข้ามาเต็มที รอบที่แล้วเราก็ให้ไม่ครบจำนวน ครั้งนี้จำเป็นต้องให้ตามอัตราแถมยังต้องเพิ่มเติมสำหรับงวดที่แล้วอีกจำนวนหนึ่ง.. ฉันเองก็เข้าใจบังอยู่หรอก..

ฉันอาจจะผิดเองแหล่ะที่ไม่ยอมปรึกษาบังก่อน..

ถึงวันนี้ ปาเข้าไปสิบห้าวันแล้ว.. บังหรนก็ยังไม่กลับ..

ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร.. ปกติป่านนี้น่าจะกลับเข้ามาแล้ว เที่ยวนี้บังหรนออกไปนาน กำหนดกลับสามวันที่แล้ว ถึงวันนี้ยังไม่เห็นวี่แวว..

ฉันตั้งหน้าตั้งตาคอยบังอยู่ทุกวี่วัน บางวันแทบไม่เป็นอันทำอะไร ใจมันพะวงเรื่องบังอยู่ตลอด บังน่าจะกลับเข้ามาตั้งนานแล้ว ฉันไม่อยากคาดเดาเอาเองถึงเรื่องชะตากรรม ในใจครุ่นคิดเสมอว่าบังต้องกลับ ไม่วันนี้ ก็วันพรุ่ง..

เรือหลายลำกลับเข้าเทียบท่า พร้อมปูปลามากมาย ฉันก็หวังว่าเรือบังเองก็จะเป็นเช่นนั้น ฉันพอจะได้รับข่าวคราวความเป็นไปในทะเลจากกลุ่มคนเหล่านั้นบ้าง แต่ก็ยังไกลจากเรื่องของบัง น่านน้ำทะเลในหาปลายากสิ้นดี พวกเขาออกกันไปไกล ฝ่าคลื่นลมโหดๆ เสาะหาแหล่งปลาชุม ต่างคนก็ต่างกลับเลยกำหนดเช่นกัน.. บางคนบอกสาเหตุที่กลับช้าเพราะต้องแอบมรสุม อ้อมเรือไปทางทิศอื่น เดินเรือเลียบเกาะใหญ่ ระยะทางเลยไกลกว่าเดิม บางคนบอกช่วงนี้มรสุมแรงเกินกว่าจะเดินเรือกลับอย่างรีบเร่ง.. ลมสลาตันมันพัดพาคลื่นให้สูงหลายเมตร.. บังหรนอาจติดเกาะอยู่สักระยะรอจนมรสุมผ่านไป..ข่าวคราวเหล่านั้นเป็นแค่การสันนิษฐาน ไม่มีใครเจอบังหรนกับลูกน้องเลยสักคน..ใจฉันเสีย กลางคืนนอนไม่หลับ ได้แต่ภาวนาให้บังปลอดภัย..

ท้องฟ้าฟากตะวันออกวันนี้สีครามเจือด้วยเมฆบางๆ สีเทาอ่อน น้ำในคลองค่อยๆ ถูกหนุนเข้ามาจากทะเลใหญ่กำลังจะเอ่อล้นตลิ่ง ท่าเทียบเรือเหงา วังเวง.. ฉันมานั่งรอบังอยู่ตั้งแต่เช้าหลังส่งลีน่าไปโรงเรียน พยายามที่จะคิดแต่ในทางที่ดี หวังอย่างยิ่งวันนี้ที่จะเห็นเรือของบังกลับเข้ามาเทียบท่า แม้วันที่ผ่านมาจะก่อความรู้สึกสะเทือนใจแก่ฉันเพียงไร วันนี้ฉันเต็มไปด้วยความหวังที่จะเห็นบัง..

น้ำในคลองขึ้นเต็มที่แล้ว กำหนดเรือน่าจะเทียบท่าในเวลานี้.. หรือบังจะเถลไถลอยู่ที่ไหน ฉันมิอาจคาดเดาใดๆ ได้..

.................................................................

เรือนศิลป์กะรักษ์, เมษายน 2554

เรื่องสั้น เมาทะเล


ฟ้าทั้งผืนแดงยังกับเลือดนก เมฆสีคล้ำหนาทึบอุ้มน้ำไว้อย่างหนักหน่วง รอเวลาที่จะโปรยห่าลงมา คลื่นหัวเดิ่งโถมซัดหัวเรือให้ลอยสูงจนเกือบหงายคว่ำ ผมพยายามฝ่าเกลียวคลื่นมุ่งตรงไปข้างหน้า รอบๆ ลำเรือมองไปไกลเห็นเพียงเกลียวคลื่นสูงต่ำสลับขึ้นลง

ทุกทิศทางเห็นเพียงเส้นตัดขอบฟ้าและน่านน้ำ เกลียวคลื่นขึ้นลงสูงกว่าลำเรือ มันยกลำเรือให้สูงขึ้น ก่อนโยนลงต่ำจนเห็นยอดสูงของคลื่นอยู่เหนือหัว ลมพัดแรงเกินจะบังคับให้เรือเดินตามเส้นทางได้ กระแสลมยากเกินคาดเดาถึงที่มา ทั่วสารทิศหาได้มีเกาะแก่งหรืออื่นใด ให้สามารถจับจุดได้ บนฟ้าเห็นเพียงเมฆหนาและผืนฟ้าบางส่วนตามช่องโหว่ของเมฆหนา..

พายุห่าใหญ่ก่อตัวหมุนละลิ่วอยู่ไกลๆ มันค่อยๆ หมุนเข้ามาใกล้.. ก่อนน่านน้ำเบื้องหน้าทั้งผืนจะก่อหลุมลึกลงไปใต้ท้องทะเล น้ำไหลวนพัดพาเรือทั้งลำไหลตามกระแส หลุมลึกค่อยๆ ดูดกลืนเรือทั้งลำให้จมลงสู่ความมืด.. ผมรู้สึกตัวเองหายวับไปพร้อมกับลำเรือ..

แสงแดดจ้าสาดส่องม่านตาให้ปวดแสบ รู้สึกตัวเองนอนหงายทอดร่างอยู่บนผืนทรายอันร้อนระอุ กระพริบตาถี่ๆ สามสี่ครั้งแล้วหันหน้าหลบแสง ก่อนใช้ข้อศอกยันตัวเองให้ลุกนั่ง.. รอบกายเห็นเพียงควันโขมงอยู่ทั่วสารทิศ ร่องรอยของตึกรามบ้านช่องโดนเผาทำลายแลเห็นอยู่ไกลๆ พยายามลุกยืนขึ้นด้วยสองขาที่รู้สึกเหนื่อยอ่อน ก่อนพาตัวเองเดินทุลักทุเลไปทางด้านภูเขาสีเทาที่แลเห็นอยู่ไกลๆ ลมบางๆ พัดพาฝุ่นฟุ้งปลิว กลิ่นเหม็นบางอย่างโชยพัดแฝงมากับสายลมร้อน แดดจ้าจนผิวปวดแสบ ผืนฟ้าทอสีแดงก่ำ หมู่เมฆหนาทาบทาอยู่เหนือยอดเขา ซากรถและสิ่งปลูกสร้างหลายอย่างหักพังเกลื่อนกราดอยู่รอบๆ ซากกระดูกสิ่งมีชีวิตกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนกราด ผมก้าวเท้าทุลักทุเลเดินตรงไปข้างหน้าด้วยเท้าเปล่าบนผืนดินที่ร้อนระอุ แตกระแหง บนผิวดินก่อกระอายแดดเร่าร้อน กลิ่นเน่าเหม็นโชยมายั่วยวนอยู่ปลายจมูก..

พลันรู้สึกกระหายน้ำ.. รอบกายไม่เห็นแม้ร่องรอยของภาชนะที่สามารถเก็บกักน้ำเลย มีเพียงคูน้ำใกล้ๆ ที่เมื่อชะเง้อหน้าดูเห็นเพียงของเหลวสีเขียวเข้ม เต็มไปด้วยซากสิ่งมีชีวิตหลายชนิดลอยเหน่าฝืด.. ผมเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้า เมฆสีดำทึบเริ่มก่อตัวอยู่ตรงยอดเขา มันค่อยๆ ก่อตัวใหญ่ขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนจะเคลื่อนย้ายลอยเข้ามาใกล้ๆ จนบดบังผืนฟ้าทั้งผืนเหนือศีรษะ..

ลมเย็นพัดโชยมากระทบเนื้อหนังให้พอคลายร้อน ก่อนห่าฝนเม็ดสีแดงสดจะเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว หยดละอองของมันแหลมคมยังกับเข็ม ทิ่มแทงศีรษะและร่างกายจนปวดแสบไปหมดทั้งตัว ผมรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีวิ่งฝ่าห่าฝนเข้ามาหลบอยู่ใต้ซากบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก..

สภาพอากาศเริ่มหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก ผมนั่งหลังพิงฝาใช้แขนทั้งสองข้างกอดเข่า อวัยวะทุกส่วนของร่ายกายแข็งทื่อ ยากที่จะเคลื่อนไหว ความหนาวเหน็บซึมซับกัดกินชีพจรให้หยุดนิ่ง หายใจแสบๆ อยู่ในโพรงจมูก หัวใจเต้นช้าลง ๆ รู้สึกตัวเองจางหายไปกับความมืด..

กลิ่นเหม็นคาวอบอวนอยู่ในโพรงจมูก.. รู้สึกตัวอีกครั้ง ค่อยๆ ลืมตาออก แหงนหน้ากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสะดุ้ง! ตกใจสุดขีด.. ผมกำลังนอนคว่ำอยู่บนระเบียงบ้านของตัวเอง ใช้มือยันร่างกายให้ลุกนั่ง เกาะราวระเบียง เพ่งมองไปยังลำคลองซึ่งตัดผ่านหลังบ้าน น้ำในลำคลองแห้งขอด ปู ปลา และสัตว์น้ำหลายชนิดล้มตายเกลื่อนอยู่ก้นคลอง ป่าโกงกางฝั่งตรงข้ามของคลองเหี่ยวแห้ง ไม่เห็นสีเขียวขจีปกคลุม เรือหัวโทงซึ่งเคยลอยเทียบท่าอยู่ริมคลองมีร่องรอยของการเผาทำลาย บางลำเห็นเพียงซากกงเรือที่ยังโชยควันบางๆ

ลุกขึ้นผลักประตูบ้านเข้าข้างใน สิ่งของเครื่องใช้ในบ้านโดนรื้อเพ่นพ่าน กระจัดกระจาย ผมกวาดสายตาดูไปรอบๆ กรอบรูปที่เคยถ่ายคู่ภรรยาหล่นแตกกระจาย เห็นเพียงภาพหมองๆ ซ่อนอยู่ใต้เศษแก้ว หยิบมันขึ้นมาดู ก่อนพยายามตะโกนเรียกหาภรรยา.. ใจหายวับ เร่งฝีเท้าผลักประตูออกมาหน้าบ้าน พยายามเรียกและมองหาภรรยา.. ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ตะโกนแล้วตะโกนอีก ยินแต่เสียงสะท้อนอยู่ไกลๆ.. รู้สึกถึงน้ำในตาที่เอ่อนองเบ้า..

รีบวิ่งออกไปบนถนนซึ่งตัดผ่านหน้าบ้านเข้าไปในเขตชุมชน ปากตะโกนเรียกชื่อใครต่อใครทีคุ้นเคย ต้นไม้และกอหญ้าข้างทางแห้งตายไม่เหลือสักต้น บนถนนไร้รถราใดๆ แม้แต่แมว หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ผมพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าใดแต่ก็เคลื่อนไปแต่ความรู้สึก.. ขาของผมไม่ถึงพื้น มันกวดอากาศอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไปไหน เพ่งมองดูรอบๆ เห็นทุกอย่างนิ่งงันอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่พยายามเร่งฝีเท้าหนักขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน.. พลันตัวผมกลับลอยขึ้น ลอยสูงขึ้นจากพื้นเหนือยอดไม้ เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากที่ไหนสักที่ มันเหมือนระงมอยู่ในเขตสวนยางใกล้ๆ ร่างกายลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจนแลลงเบื้องล่างได้ไกล ผมเร่งฝีเท้าตัวเองอีกครั้ง ร่างกายก็ลอยสูงขึ้นตามกำลัง ลมบนโชยมาพัดให้ปลายผมปลิว สูดอากาศเบาๆ ได้กลิ่นคาวบางอย่างชวนสำรอก ยิ่งลอยสูงขึ้น เมื่อมองลงต่ำเห็นทุกอย่างเล็กลง ลมบนยิ่งแรงขึ้น แดดจ้าจากอีกฟากฟ้าสาดเข้ามาจังๆ จนร่างกายปวดแสบ ผมกางมือทั้งสองข้างออก พยายามกวัดแกว่งให้เหมือนปีกนก แต่ไม่เกิดผลใดๆ ร่างกายกลับลอยสูงขึ้นเหนือกลุ่มเมฆหนา เหนือลมบน สูงขึ้นจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลุดออกนอกเขตโลก ความกดอากาศหนาขึ้น จนเริ่มรู้สึกอัดอัด ลมหายใจแสบร้อน เหนือท้องฟ้าเริ่มเห็นเพียงความมืดอยู่ไกลๆ ผมพยายามเพ่งมองกลับมายังโลก สีของมันเหมือนลูกไฟขนาดมหึมาที่กำลังเผาตัวเอง ตกใจสุดขีด ผมกรีดร้องโวยวายทั้งตะโกนเรียกชื่อใครต่อใครอีกครั้ง แหกปากออกมากเท่าไหร่ ปากผมก็ค่อยๆ แคบลงๆ จนไม่สามารถอ้าออกได้ ตกใจ! ดิ้นรนแหวกม่านอากาศ พยายามใช้มือทั้งสองข้างฉีกปากตัวเองออก พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล น้ำตาเริ่มไหลลงอาบสองแก้ม ร่างกายยังลอยเคว้งคว้างอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ผมจากโลกมาไกลมากนัก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ น้ำตาไหลพราก สะอื้นไห้ ในใจนึกถึงแต่ภรรยา บ้าน และความเป็นไปบนโลก..

นิ่ง และพยายามปลดปล่อยตัวเองให้ลอยเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมาย กางขาและแขนออกจนสุด เงยหน้าหลับตา ปล่อยให้ร่างกายตัวเองหลุดลอยไปตามชะตากรรม อากาศหนาวเหน็บเกาะกินร่างกาย ทุกๆ อวัยวะแข็งทื่อ ผิวหนังเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ ลามเข้ามาทุกซอกทุกมุมของร่างกาย จนคลุมทุกส่วน ความหนาวสอดแทรกเข้าไปตามรูขุมขน มันชอนไชเข้าไปในเส้นเลือด กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท หัวใจหยุดเต้นลงอีกครั้ง ผมรู้สึกตัวเองหายวับไปกับความมืด..

สะดุ้ง! เหมือนร่างกายโดนเขย่าอย่างแรง นัยน์ตาเห็นแสงสว่างเจิดจ้า เสียงตะโกนเรียกชื่อผมก้องอยู่ในโสตประสาท รู้สึกปวดแสบอยู่ในหัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาสู้แสง.. เห็นหน้าคนสามคนอยู่จางๆ คนหนึ่งกำลังโอบหลังยกผมอยู่ในท่านั่งยันเข่า อีกสองคนกำลังก้มหน้าจ้องมอง ผมจำพวกเขาได้แม่นยำ..

ผมถูกประคองให้ลุกนั่ง รู้สึกศีรษะหนักยังกับหิน ภายในรุ่มร้อนอย่างกับเพลิงเผาผลาญ ปวดเมื่อยไปตามแขนขา แดดจ้าสาดส่องความร้อนดั่งเปลวไฟโลมเลีย ลมทะเลโชยมาเบาๆ ยั่วกลิ่นเหม็นคาว บางคนสอบถามถึงอาการไข้ ผมไม่พร้อมจะตอบ ส่ายหัวเบาๆ แล้วยกเข่าขึ้นวางข้อศอก..

ลำเรือโยกขึ้นลงเบาๆ ตามระลอกคลื่น ผมพยายามกวาดสายตาแลรอบๆ ขณะเพื่อนร่วมงานทั้งสามคนกลับเข้าที่ เรากำลังลอยลำเรือเลียบเกาะอยู่ฝั่งตะวันออก ผืนฟ้ากระจ่างเห็นเป็นสีน้ำเงินอ่อนๆ ทาบทาด้วยปุยเมฆขาวบางๆ น้ำทะเลสีมรกตสดชื่น ลมโชยมาเบาๆ พัดปลิวปลายเส้นผม นัยน์ตารู้สึกร้อนแห้งๆ..

พยายามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกอย่างพร่ามัว ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกปวดเจ็บอยู่ในศีรษะ ประคองตัวเองให้ลุกนั่งบนลังแช่ปลาให้หลังพิงฝาเก๋งเรือ สายตามองออกไปตรงปลายขอบฟ้า แสงแดดจ้าสาดน่านน้ำเห็นประกายแวววับเป็นทาง คลื่นลมเบาๆ โยกเรือขึ้นลงเป็นจังหวะ รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น แต่ยังปวดเมื่อยอยู่ตามแขนขา..

สงบนิ่ง หลับตาคิดอยู่พักใหญ่ ปล่อยใจไปตามแรงโยกของลำเรือ ลำดับความคิดและทุกๆ ภาพที่ได้เห็น น้ำตาซึมอยู่ในเบ้าตา แขนขารู้สึกร้อนผ่าว.. ลืมตาแหงนมองฟ้า.. ผมแค่ฝันไป!..

เรือนศิลป์กะรักษ์, เมษายน 2554

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น ความเป็นเขา


เสมือนกรุงเทพฯ ทั้งๆ เมืองโดนเผาวอดวายอยู่เกือบค่อนเดือน.. ก่อนฝนห่าใหญ่จะเทลงมาซะล้างเถ้าถ่านของซากปรักหักพังที่มอดม้วยเป็นผุยผงละลายไปกับน้ำไหลลงคลองแสนแสบ.. คราบปฏิกูลในคลองซึ่งเห็นอยู่ในผิวน้ำคลองแสนแสบฉายภาพให้เขารู้สึกเช่นนั้น และมันก็ยังเป็นเช่นนั้นมานาน แม้เขาจะห่างหายจากที่นี่เกือบสามปี กลับมาเห็นก็ยังรู้สึกเช่นเดิม มันยังดำสกมก น่าขยะแขยง กลิ่นเหม็นชวนอ้วก..แต่เขาก็เคยอยู่กับมัน เคยอยู่ใกล้ๆ มัน สูดดมกลิ่นของมัน และโดยสารพาหนะที่แล่นแหวกน่านดำทะมึนนี้อยู่ทุกวี่วัน..

เกือบสี่ปีเต็มที่เขาย่างก้าวออกจากตรงนี้ไป จากวันเวลาเดิมๆ ซึ่งผูกพัน กับมิตรสหาย และกับสถานะของการเป็นนักศึกษา.. พ่อและแม่ของเขาประสงค์เช่นนั้น เช่นเดียวกับพี่ๆ ของเขาอีกสามคนที่เคยมาหาหนทางก่อเกิดที่นี่ หนึ่งคนเดี๋ยวนี้คือครู ครูซึ่งเคยผ่านการบ่มเพาะทางการศึกษาอย่างเปี่ยมล้นจากที่นี่ อีกหนึ่งก็คือครู ครูสอนศาสนาที่ครึ่งหนึ่งของชีวิตก็เคยมาแสวงหาหนทางอยู่ที่นี่ และอีกหนึ่งซึ่งมาเริ่มต้นชีวิตได้ดีจากที่นี่ จนตำแหน่งงานดีๆ ที่บ้านรอคอยวันเวลากลับ รับตำแหน่งอย่างว่าง่าย..จนเหลือแต่เขา..ลูกผู้ชายคนสุดท้อง เหมือนคนโชคดีที่เกิดมาท่ามกลางความพร้อมในหลายๆ ด้าน พ่อเคยมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นนักเลงที่ใครๆ แถวบ้านก็เกรงขาม ผู้ซึ่งยึดครองทั้งที่ดินเปล่าและสวนยางอีกมากมาย

เขากลับมาที่เดิม ที่นี่.. ที่ที่เคยนั่งประจำสมัยเข้ามาเรียนและพักอยู่ย่านนี้ บนทางเท้าท่าเรือมหาดไทยริมคลองแสนแสบ มันพอมีเนื้อที่อยู่บ้าง พอเป็นร้านกาแฟ พอจัดวางโต๊ะเก้าอี้ พอเป็นที่ให้เขาและเพื่อนมาพบปะ มาพูดคุย มาดูสาว และมานั่งแม้ไม่มีประสงค์อะไรนอกจากนั่งจิบกาแฟ.. บนทางเท้าคอนกรีตขอบคลองแสนแสบยังเนืองแน่นด้วยผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ซ้ำหน้า เขาเข้ามานั่งยืดขาหลังพิงพนักอยู่ตรงเก้าอี้หันหน้าออกคลองแสนแสบ บนโต๊ะมีถ้วยกาแฟโชยควันจางๆ .. เขาสวมกางเกงยีนผ้าหนังไก่ยี่ห้อดีจากอเมริกา รัดรูปตรงเป้าถึงน่องและมาบานตั้งแต่เข่าถึงปลายขา ใช้เข็มขัดหนัง แกะลายอย่างดี ตรงหัวเข็มขัดทองเหลืองแผ่นวงรีขนาดจานรองถ้วยกาแฟฝังเงินรูปม้าพยศ เท้าสวมบูทหนังกลับ ส้นสูง.. เขาสวมเสื้อยีนผ้าหนังไก่สีคล้ายๆ กัน รัดรูปติดกระดุมเหล็กสวมทับเสื้อยืด ตรงหน้าอกเสื้อยีนปลดกระดุมออกโชว์สร้อยเส้นใหญ่ประดับด้วยเงินแยกออกมาเป็นช่อๆ คล้ายๆ ดอกจำปี ส่วนจี้เป็นรูปเกือกม้าห้อยอยู่เกือบกลางพุง ตรงข้อมือมีกำไลเงินฝังหินสีฟ้าอมดำเม็ดโตผิวลื่นเป็นมันแวววับ อีกข้างคล้ายกันแต่ตรงกลางถูกติดด้วยเรือนนาฬิกาข้อมือสั่งทำพิเศษ แหวนเงินรูปงูม้วนตัวรอบเม็ดหินสีเขียวอมดำถูกสวมไว้ตรงนิ้วนางข้างขวา..

ผมของเขาหยักโสก ตรงปลายหยิก ยาวลงมาเกือบสะเอว ถูกมัดรวมไว้เป็นระเบียบ ใบหน้าดูน่าเกรงขาม ผิวขาวอมเหลืองบางๆ สายตาถูกซ่อนไว้หลังแว่นสีชา ขอบแว่นสีเงินรูปไข่ ขาสปริงม้วนเกี่ยวไว้กับใบหู..

ถัดไปจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่มีเป้อย่างดี ใบใหญ่ถูกใส่สัมภาระไว้เต็ม แน่น.. ติดกันเป็นกระเป๋ากีตาร์สีดำถูกวางไว้บนพื้น.. ท่าเรือมหาดไทยขวักไขว่ไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา นักศึกษา คนทำงาน กรรมกร และขาจรต่างๆ บ้างเดินผ่านไปมา บ้างยืนรอเรือโดยสารไปยังแหล่งอื่นๆ ทุกๆ สายตาจำต้องแอบมองมายังเขา บางคนเพ่งมองเขาเสียนานจนเขารู้สึก แต่ไม่ได้สนใจไยดีอะไร เขายังนั่งยืดขา บางครั้งกระดิกเท้าเบาๆ ให้พอเป็นจังหวะ..

ฟ้าเหนือเมืองกรุงเริ่มถูกกลืนกินด้วยความมืด ตรงริมขอบฟ้าฝั่งตะวันตกถูกแสงสีส้มทาบทาบางๆ ก้อนเมฆสีหม่นกระจัดกระจายอยู่ปลายฟ้า นกฝูงหนึ่งบินผ่านผืนฟ้าทางทิศเหนือ ไฟจากตึกสูงๆ เริ่มสว่างไสว เสียงรถราบนท้องถนนยิ่งโกลาหลฟังไม่ได้ศัพท์ เรือโดยสารเที่ยวสุดท้ายเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ท่าเรือมหาดไทยเริ่มมีคนเบาบาง แต่ตรงทางเดินยังเนืองแน่น สวนทางกันไปมา ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว บ้างมาเป็นคู่ ชายหญิง จับมือถือแขน ยังอยู่ในชุดนักศึกษา สะพายเป้ที่อาจอัดแน่นไปด้วยตำราเรียนหรือ..? บ้างเป็นกลุ่มคนหนุ่มที่มาในชุดเสื้อฟุตบอลกางเกงขาสั้น พวกเขาอาจตรงไปยังสนามกีฬาหัวหมาก.. ร้านรวงต่างๆ ในซอยยิ่งคึกคักกว่ายามเย็น เด็กหนุ่มสาวหลายคนเริ่มทยอยลงมาจากหอพัก บ้างยังอยู่ในชุดนอน บางส่วนอาบน้ำแต่งตัวลงมาเรียบร้อย แต่งหน้าแต่งตาพร้อมจะมุ่งหน้าไปไหนสักที่..? ในค่ำคืนนี้

รถเก๋งคันหรูสามสี่คันแวะเวียนเข้ามาตรงลานหน้าหอพักนักศึกษา จอดรออยู่สักครู่ ก่อนน้องสาวนุ่งสั้นใส่เสื้อรัดรูป หิ้วกระเป๋าหนังอย่างดี เดินด้วยรองเท้าหนังส้นสูงลงมาเปิดประตูเข้าไปนั่ง.. แล้วรถเก๋งคันงามก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป คันอื่นๆ ที่เข้ามาก็มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน..

จิกโก๋ผมยาวหลายคนเริ่มทยอยลงลิฟต์หอพักมานั่งทานมื้อเย็น..? หน้าตาแต่ละคนยังงัวเงีย บางคนในตาแดงก่ำ ผมเผ้ารึงรัง..นั่งกินข้าวกันอยู่เป็นกลุ่ม เสร็จก็แวะร้านค้า ซื้อบุหรี่ โค้กขวดใหญ่ และน้ำแข็งถุงกิโล หอบหิ้วขึ้นลิฟต์กลับห้องไป..

เด็กหนุ่มบางคนลงมานั่งที่โต๊ะถัดไปจากที่เขากำลังนั่งอยู่ ควักคอมพิวเตอร์แบบพกพาจากในเป้ขึ้นมาเปิดดู เลื่อนอุปกรณ์บางอย่างที่ต่อพ่วงกับตัวเครื่องไปมา หน้าตาดูเคร่งเครียด และจดจ่ออยู่แต่หน้าจอ เขาพยายามแง้มหน้าไปดูตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเด็กหนุ่ม เห็นตัวการ์ตูนสองตัวบนหน้าจอกำลังต่อสู้แลกวิทยายุทธ์กันอย่างเมามัน เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเขา ยังเลื่อนอุปกรณ์ต่อพ่วงไปมาอย่างชำนาญ มืออีกด้านกดปุ่มตรงแป้นพิมพ์ไปมา.. เขามองเด็กหนุ่มอยู่พักใหญ่ ก่อนหันมองรอบๆ เห็นร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ๆ อัดแน่นไปด้วยเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่บนเก้าอี้รูปทรงประหลาด หัวถูกครอบไว้ด้วยหูฟังอันใหญ่ ขณะสายตาเพ่งเล็งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือทั้งสองข้างไม่เป็นอันว่าง..เขาพอเข้าใจสถานการณ์..

ฟ้าทั้งผืนมืดมิด.. ตรงริมขอบฟ้ารอบด้านถูกแสงจากเมืองใหญ่โลมเลียขึ้นเป็นทางบดบังดวงดาวหลายดวงที่ทอแสงริบรี่อยู่ไกลๆ จันทร์ข้างขึ้นทอแสงบางๆ มองไปไกลเห็นเพียงแสงไฟจากตึกสูงๆ สลับซับซ้อนกัน เสียงรถรายังโกลาหล ท่อไอเสียรถบรรทุกบางคันกระหึ่มเสียงอยู่ใกล้ๆ สลับกับเสียงแตร กลิ่นคลุ้งจากน่านน้ำในคลองแสนแสบโชยมากับสายลมบางๆ เกลียวคลื่นในคลองยังคงม้วนตัวเบาๆ ซัดเข้าหาฝั่งคอนกรีต ผู้คนยังขวักไขว่ไปมากันชุลมุน..

เขายังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวเดิม เขานัดเพื่อนสนิทคนหนึ่งเอาไว้ นานแล้วไม่ได้เจอะเจอกัน ตั้งแต่เขาตัดสินใจย้ายออกจากหอพักย่านนี้เมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว เขาและเพื่อนคนนั้นขึ้นมาเรียนมหา’ลัยแห่งหนึ่งในย่านนี้ ป่านนี้เพื่อนของเขาคงเกือบสำเร็จการศึกษาแล้ว เวลาสี่ปีมันไม่นานสักเท่าไหร่.. เขายังจำได้ดีอยู่หรอกเมื่อแรกเริ่มที่เดินทางเข้ามาเมืองกรุง เข้ามากันสองคน โดยสารรถไฟขึ้นมาจากปักษ์ใต้ หอบหิ้วข้าวของมามากมาย ถึงวันที่สมัครเรียน เริ่มเข้าเรียน จนถึงวันสอบปลายภาคในปีแรก เขาต่างตั้งใจมุ่งมั่นและทำตามความคาดหวังที่ดั้นด้นมา.. จนเมื่อเริ่มเข้าปีที่สอง บางอย่างเปลี่ยนไป เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะหอบหิ้วกระเป๋าเดินออกจากตรงนี้ไป ทิ้งเพื่อนเขาไว้เดียวดาย..

เวลา 21.30 น. ชายหนุ่มคนหนึ่งแหวกม่านฝูงชนเดินตรงมา เขาฉีกรอยยิ้มออกบางๆ เขาจำชายคนนั้นได้ดี เกือบสี่ปีที่แล้วยังผมสั้นเกรียนเหมือนๆ กัน หลายปีไม่เจอหน้า ชายหนุ่มคนนั้นกลับปล่อยผมตรงยาวจนถึงสะโพก หนวดและเคราพองามเหมาะเจาะกับรูปหน้า สวมเสื้อกล้ามสีขาว มีสร้อยคอลูกปัดหลากสีห้อยลงมาเกือบปลายหน้าอก นุ่งกางเกงขาก๊วยสีดำจืดๆ สวมรองเท้าแตะสีขาว สะพายย่าม.. เขารีบลุกขึ้นมาจับมือให้สลามทักทายตามแบบอย่างมุสลิม.. "ไปอยู่ไหนมา" เพื่อนของเขาทักทาย ขณะดึงเก้าอี้ออกมาเตรียมหย่อนก้นลงนั่ง.. "เพิ่งกลับมาจากยุโรป..เมื่อเช้า" เขาถอดแว่นสีชาออก วางไว้ข้างถ้วยกาแฟ.. สีหน้าเพื่อนของเขางงๆ กับคำตอบที่ได้ กาแฟที่ใหม่ถูกสั่งมาวางตรงหน้าสหายทั้งสอง ผู้คนตรงริมทางเท้ายังเดินขวักไขว่เช่นเดิม ร้านกาแฟสลับลูกค้ามากหน้าหลายตา เสียงจอแจจากข้างบนหอพักดั่งสนั่นกว่าช่วงเย็น สองสหายนั่งคุยสับเพเหระ.. "ตกลงแกจะกลับมาทำเรื่องรักษาสภาพนักศึกษาไหมวะ" เพื่อนของเขาเอ่ยถาม "คงยังหรอก.. รอบนี้กะจะมาเยี่ยมแกเฉยๆ พรุ่งนี้จะลงไปกระบี่ ฉันกำลังจะเปิดร้านกาแฟกับเพื่อนฝูงอยู่ที่นั่น ว่างๆ แกค่อยลงไปเยี่ยมแล้วกัน.."

เวลาเลยไปจนเกือบเที่ยงคืน ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ๆ ยิ่งคึกคัก ด้วยเด็กหนุ่มที่ยังอัดแน่นไม่ว่างเว้น ริมทางเท้าฝั่งคลองแสนแสบเริ่มวาย ไม่พลุกพล่านเหมือนตอนกลางวัน เสียงรถราบนท้องถนนยังโกลาหลสิ้นดี ลมโชยมาเบาบาง ขณะ ดวงจันทร์เหนือท้องฟ้าเมืองกรุงดูหมองๆ แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องยังเจิดจ้า.. กลิ่นเหม็นชวนสำรอกจากกองขยะใต้สะพานมหาดไทยเริ่มโชยมากับสายลมบางๆ .. เขากับเพื่อนสะพายเป้และกีตาร์ เดินออกจากร้าน..


..............................................

มีนาคม 2554, เรือนศิลป์กะรักษ์