วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น เมาทะเล


ฟ้าทั้งผืนแดงยังกับเลือดนก เมฆสีคล้ำหนาทึบอุ้มน้ำไว้อย่างหนักหน่วง รอเวลาที่จะโปรยห่าลงมา คลื่นหัวเดิ่งโถมซัดหัวเรือให้ลอยสูงจนเกือบหงายคว่ำ ผมพยายามฝ่าเกลียวคลื่นมุ่งตรงไปข้างหน้า รอบๆ ลำเรือมองไปไกลเห็นเพียงเกลียวคลื่นสูงต่ำสลับขึ้นลง

ทุกทิศทางเห็นเพียงเส้นตัดขอบฟ้าและน่านน้ำ เกลียวคลื่นขึ้นลงสูงกว่าลำเรือ มันยกลำเรือให้สูงขึ้น ก่อนโยนลงต่ำจนเห็นยอดสูงของคลื่นอยู่เหนือหัว ลมพัดแรงเกินจะบังคับให้เรือเดินตามเส้นทางได้ กระแสลมยากเกินคาดเดาถึงที่มา ทั่วสารทิศหาได้มีเกาะแก่งหรืออื่นใด ให้สามารถจับจุดได้ บนฟ้าเห็นเพียงเมฆหนาและผืนฟ้าบางส่วนตามช่องโหว่ของเมฆหนา..

พายุห่าใหญ่ก่อตัวหมุนละลิ่วอยู่ไกลๆ มันค่อยๆ หมุนเข้ามาใกล้.. ก่อนน่านน้ำเบื้องหน้าทั้งผืนจะก่อหลุมลึกลงไปใต้ท้องทะเล น้ำไหลวนพัดพาเรือทั้งลำไหลตามกระแส หลุมลึกค่อยๆ ดูดกลืนเรือทั้งลำให้จมลงสู่ความมืด.. ผมรู้สึกตัวเองหายวับไปพร้อมกับลำเรือ..

แสงแดดจ้าสาดส่องม่านตาให้ปวดแสบ รู้สึกตัวเองนอนหงายทอดร่างอยู่บนผืนทรายอันร้อนระอุ กระพริบตาถี่ๆ สามสี่ครั้งแล้วหันหน้าหลบแสง ก่อนใช้ข้อศอกยันตัวเองให้ลุกนั่ง.. รอบกายเห็นเพียงควันโขมงอยู่ทั่วสารทิศ ร่องรอยของตึกรามบ้านช่องโดนเผาทำลายแลเห็นอยู่ไกลๆ พยายามลุกยืนขึ้นด้วยสองขาที่รู้สึกเหนื่อยอ่อน ก่อนพาตัวเองเดินทุลักทุเลไปทางด้านภูเขาสีเทาที่แลเห็นอยู่ไกลๆ ลมบางๆ พัดพาฝุ่นฟุ้งปลิว กลิ่นเหม็นบางอย่างโชยพัดแฝงมากับสายลมร้อน แดดจ้าจนผิวปวดแสบ ผืนฟ้าทอสีแดงก่ำ หมู่เมฆหนาทาบทาอยู่เหนือยอดเขา ซากรถและสิ่งปลูกสร้างหลายอย่างหักพังเกลื่อนกราดอยู่รอบๆ ซากกระดูกสิ่งมีชีวิตกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนกราด ผมก้าวเท้าทุลักทุเลเดินตรงไปข้างหน้าด้วยเท้าเปล่าบนผืนดินที่ร้อนระอุ แตกระแหง บนผิวดินก่อกระอายแดดเร่าร้อน กลิ่นเน่าเหม็นโชยมายั่วยวนอยู่ปลายจมูก..

พลันรู้สึกกระหายน้ำ.. รอบกายไม่เห็นแม้ร่องรอยของภาชนะที่สามารถเก็บกักน้ำเลย มีเพียงคูน้ำใกล้ๆ ที่เมื่อชะเง้อหน้าดูเห็นเพียงของเหลวสีเขียวเข้ม เต็มไปด้วยซากสิ่งมีชีวิตหลายชนิดลอยเหน่าฝืด.. ผมเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้า เมฆสีดำทึบเริ่มก่อตัวอยู่ตรงยอดเขา มันค่อยๆ ก่อตัวใหญ่ขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนจะเคลื่อนย้ายลอยเข้ามาใกล้ๆ จนบดบังผืนฟ้าทั้งผืนเหนือศีรษะ..

ลมเย็นพัดโชยมากระทบเนื้อหนังให้พอคลายร้อน ก่อนห่าฝนเม็ดสีแดงสดจะเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว หยดละอองของมันแหลมคมยังกับเข็ม ทิ่มแทงศีรษะและร่างกายจนปวดแสบไปหมดทั้งตัว ผมรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีวิ่งฝ่าห่าฝนเข้ามาหลบอยู่ใต้ซากบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก..

สภาพอากาศเริ่มหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก ผมนั่งหลังพิงฝาใช้แขนทั้งสองข้างกอดเข่า อวัยวะทุกส่วนของร่ายกายแข็งทื่อ ยากที่จะเคลื่อนไหว ความหนาวเหน็บซึมซับกัดกินชีพจรให้หยุดนิ่ง หายใจแสบๆ อยู่ในโพรงจมูก หัวใจเต้นช้าลง ๆ รู้สึกตัวเองจางหายไปกับความมืด..

กลิ่นเหม็นคาวอบอวนอยู่ในโพรงจมูก.. รู้สึกตัวอีกครั้ง ค่อยๆ ลืมตาออก แหงนหน้ากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสะดุ้ง! ตกใจสุดขีด.. ผมกำลังนอนคว่ำอยู่บนระเบียงบ้านของตัวเอง ใช้มือยันร่างกายให้ลุกนั่ง เกาะราวระเบียง เพ่งมองไปยังลำคลองซึ่งตัดผ่านหลังบ้าน น้ำในลำคลองแห้งขอด ปู ปลา และสัตว์น้ำหลายชนิดล้มตายเกลื่อนอยู่ก้นคลอง ป่าโกงกางฝั่งตรงข้ามของคลองเหี่ยวแห้ง ไม่เห็นสีเขียวขจีปกคลุม เรือหัวโทงซึ่งเคยลอยเทียบท่าอยู่ริมคลองมีร่องรอยของการเผาทำลาย บางลำเห็นเพียงซากกงเรือที่ยังโชยควันบางๆ

ลุกขึ้นผลักประตูบ้านเข้าข้างใน สิ่งของเครื่องใช้ในบ้านโดนรื้อเพ่นพ่าน กระจัดกระจาย ผมกวาดสายตาดูไปรอบๆ กรอบรูปที่เคยถ่ายคู่ภรรยาหล่นแตกกระจาย เห็นเพียงภาพหมองๆ ซ่อนอยู่ใต้เศษแก้ว หยิบมันขึ้นมาดู ก่อนพยายามตะโกนเรียกหาภรรยา.. ใจหายวับ เร่งฝีเท้าผลักประตูออกมาหน้าบ้าน พยายามเรียกและมองหาภรรยา.. ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ตะโกนแล้วตะโกนอีก ยินแต่เสียงสะท้อนอยู่ไกลๆ.. รู้สึกถึงน้ำในตาที่เอ่อนองเบ้า..

รีบวิ่งออกไปบนถนนซึ่งตัดผ่านหน้าบ้านเข้าไปในเขตชุมชน ปากตะโกนเรียกชื่อใครต่อใครทีคุ้นเคย ต้นไม้และกอหญ้าข้างทางแห้งตายไม่เหลือสักต้น บนถนนไร้รถราใดๆ แม้แต่แมว หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ผมพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าใดแต่ก็เคลื่อนไปแต่ความรู้สึก.. ขาของผมไม่ถึงพื้น มันกวดอากาศอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไปไหน เพ่งมองดูรอบๆ เห็นทุกอย่างนิ่งงันอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่พยายามเร่งฝีเท้าหนักขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน.. พลันตัวผมกลับลอยขึ้น ลอยสูงขึ้นจากพื้นเหนือยอดไม้ เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากที่ไหนสักที่ มันเหมือนระงมอยู่ในเขตสวนยางใกล้ๆ ร่างกายลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจนแลลงเบื้องล่างได้ไกล ผมเร่งฝีเท้าตัวเองอีกครั้ง ร่างกายก็ลอยสูงขึ้นตามกำลัง ลมบนโชยมาพัดให้ปลายผมปลิว สูดอากาศเบาๆ ได้กลิ่นคาวบางอย่างชวนสำรอก ยิ่งลอยสูงขึ้น เมื่อมองลงต่ำเห็นทุกอย่างเล็กลง ลมบนยิ่งแรงขึ้น แดดจ้าจากอีกฟากฟ้าสาดเข้ามาจังๆ จนร่างกายปวดแสบ ผมกางมือทั้งสองข้างออก พยายามกวัดแกว่งให้เหมือนปีกนก แต่ไม่เกิดผลใดๆ ร่างกายกลับลอยสูงขึ้นเหนือกลุ่มเมฆหนา เหนือลมบน สูงขึ้นจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหลุดออกนอกเขตโลก ความกดอากาศหนาขึ้น จนเริ่มรู้สึกอัดอัด ลมหายใจแสบร้อน เหนือท้องฟ้าเริ่มเห็นเพียงความมืดอยู่ไกลๆ ผมพยายามเพ่งมองกลับมายังโลก สีของมันเหมือนลูกไฟขนาดมหึมาที่กำลังเผาตัวเอง ตกใจสุดขีด ผมกรีดร้องโวยวายทั้งตะโกนเรียกชื่อใครต่อใครอีกครั้ง แหกปากออกมากเท่าไหร่ ปากผมก็ค่อยๆ แคบลงๆ จนไม่สามารถอ้าออกได้ ตกใจ! ดิ้นรนแหวกม่านอากาศ พยายามใช้มือทั้งสองข้างฉีกปากตัวเองออก พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล น้ำตาเริ่มไหลลงอาบสองแก้ม ร่างกายยังลอยเคว้งคว้างอยู่เหนือชั้นบรรยากาศ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ผมจากโลกมาไกลมากนัก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ น้ำตาไหลพราก สะอื้นไห้ ในใจนึกถึงแต่ภรรยา บ้าน และความเป็นไปบนโลก..

นิ่ง และพยายามปลดปล่อยตัวเองให้ลอยเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมาย กางขาและแขนออกจนสุด เงยหน้าหลับตา ปล่อยให้ร่างกายตัวเองหลุดลอยไปตามชะตากรรม อากาศหนาวเหน็บเกาะกินร่างกาย ทุกๆ อวัยวะแข็งทื่อ ผิวหนังเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ ลามเข้ามาทุกซอกทุกมุมของร่างกาย จนคลุมทุกส่วน ความหนาวสอดแทรกเข้าไปตามรูขุมขน มันชอนไชเข้าไปในเส้นเลือด กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท หัวใจหยุดเต้นลงอีกครั้ง ผมรู้สึกตัวเองหายวับไปกับความมืด..

สะดุ้ง! เหมือนร่างกายโดนเขย่าอย่างแรง นัยน์ตาเห็นแสงสว่างเจิดจ้า เสียงตะโกนเรียกชื่อผมก้องอยู่ในโสตประสาท รู้สึกปวดแสบอยู่ในหัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาสู้แสง.. เห็นหน้าคนสามคนอยู่จางๆ คนหนึ่งกำลังโอบหลังยกผมอยู่ในท่านั่งยันเข่า อีกสองคนกำลังก้มหน้าจ้องมอง ผมจำพวกเขาได้แม่นยำ..

ผมถูกประคองให้ลุกนั่ง รู้สึกศีรษะหนักยังกับหิน ภายในรุ่มร้อนอย่างกับเพลิงเผาผลาญ ปวดเมื่อยไปตามแขนขา แดดจ้าสาดส่องความร้อนดั่งเปลวไฟโลมเลีย ลมทะเลโชยมาเบาๆ ยั่วกลิ่นเหม็นคาว บางคนสอบถามถึงอาการไข้ ผมไม่พร้อมจะตอบ ส่ายหัวเบาๆ แล้วยกเข่าขึ้นวางข้อศอก..

ลำเรือโยกขึ้นลงเบาๆ ตามระลอกคลื่น ผมพยายามกวาดสายตาแลรอบๆ ขณะเพื่อนร่วมงานทั้งสามคนกลับเข้าที่ เรากำลังลอยลำเรือเลียบเกาะอยู่ฝั่งตะวันออก ผืนฟ้ากระจ่างเห็นเป็นสีน้ำเงินอ่อนๆ ทาบทาด้วยปุยเมฆขาวบางๆ น้ำทะเลสีมรกตสดชื่น ลมโชยมาเบาๆ พัดปลิวปลายเส้นผม นัยน์ตารู้สึกร้อนแห้งๆ..

พยายามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกอย่างพร่ามัว ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกปวดเจ็บอยู่ในศีรษะ ประคองตัวเองให้ลุกนั่งบนลังแช่ปลาให้หลังพิงฝาเก๋งเรือ สายตามองออกไปตรงปลายขอบฟ้า แสงแดดจ้าสาดน่านน้ำเห็นประกายแวววับเป็นทาง คลื่นลมเบาๆ โยกเรือขึ้นลงเป็นจังหวะ รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น แต่ยังปวดเมื่อยอยู่ตามแขนขา..

สงบนิ่ง หลับตาคิดอยู่พักใหญ่ ปล่อยใจไปตามแรงโยกของลำเรือ ลำดับความคิดและทุกๆ ภาพที่ได้เห็น น้ำตาซึมอยู่ในเบ้าตา แขนขารู้สึกร้อนผ่าว.. ลืมตาแหงนมองฟ้า.. ผมแค่ฝันไป!..

เรือนศิลป์กะรักษ์, เมษายน 2554

2 ความคิดเห็น:

  1. สุดยอดเลยเรื่องนี้ตบมือให้ดังๆ เลย

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วสนุกมากเลยค่ะ บรรยายได้เห็นภาพเลยค่ะ ^^

    ตอบลบ