
เสมือนกรุงเทพฯ ทั้งๆ เมืองโดนเผาวอดวายอยู่เกือบค่อนเดือน.. ก่อนฝนห่าใหญ่จะเทลงมาซะล้างเถ้าถ่านของซากปรักหักพังที่มอดม้วยเป็นผุยผงละลายไปกับน้ำไหลลงคลองแสนแสบ.. คราบปฏิกูลในคลองซึ่งเห็นอยู่ในผิวน้ำคลองแสนแสบฉายภาพให้เขารู้สึกเช่นนั้น และมันก็ยังเป็นเช่นนั้นมานาน แม้เขาจะห่างหายจากที่นี่เกือบสามปี กลับมาเห็นก็ยังรู้สึกเช่นเดิม มันยังดำสกมก น่าขยะแขยง กลิ่นเหม็นชวนอ้วก..แต่เขาก็เคยอยู่กับมัน เคยอยู่ใกล้ๆ มัน สูดดมกลิ่นของมัน และโดยสารพาหนะที่แล่นแหวกน่านดำทะมึนนี้อยู่ทุกวี่วัน..
เกือบสี่ปีเต็มที่เขาย่างก้าวออกจากตรงนี้ไป จากวันเวลาเดิมๆ ซึ่งผูกพัน กับมิตรสหาย และกับสถานะของการเป็นนักศึกษา.. พ่อและแม่ของเขาประสงค์เช่นนั้น เช่นเดียวกับพี่ๆ ของเขาอีกสามคนที่เคยมาหาหนทางก่อเกิดที่นี่ หนึ่งคนเดี๋ยวนี้คือครู ครูซึ่งเคยผ่านการบ่มเพาะทางการศึกษาอย่างเปี่ยมล้นจากที่นี่ อีกหนึ่งก็คือครู ครูสอนศาสนาที่ครึ่งหนึ่งของชีวิตก็เคยมาแสวงหาหนทางอยู่ที่นี่ และอีกหนึ่งซึ่งมาเริ่มต้นชีวิตได้ดีจากที่นี่ จนตำแหน่งงานดีๆ ที่บ้านรอคอยวันเวลากลับ รับตำแหน่งอย่างว่าง่าย..จนเหลือแต่เขา..ลูกผู้ชายคนสุดท้อง เหมือนคนโชคดีที่เกิดมาท่ามกลางความพร้อมในหลายๆ ด้าน พ่อเคยมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นนักเลงที่ใครๆ แถวบ้านก็เกรงขาม ผู้ซึ่งยึดครองทั้งที่ดินเปล่าและสวนยางอีกมากมาย
เขากลับมาที่เดิม ที่นี่.. ที่ที่เคยนั่งประจำสมัยเข้ามาเรียนและพักอยู่ย่านนี้ บนทางเท้าท่าเรือมหาดไทยริมคลองแสนแสบ มันพอมีเนื้อที่อยู่บ้าง พอเป็นร้านกาแฟ พอจัดวางโต๊ะเก้าอี้ พอเป็นที่ให้เขาและเพื่อนมาพบปะ มาพูดคุย มาดูสาว และมานั่งแม้ไม่มีประสงค์อะไรนอกจากนั่งจิบกาแฟ.. บนทางเท้าคอนกรีตขอบคลองแสนแสบยังเนืองแน่นด้วยผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ซ้ำหน้า เขาเข้ามานั่งยืดขาหลังพิงพนักอยู่ตรงเก้าอี้หันหน้าออกคลองแสนแสบ บนโต๊ะมีถ้วยกาแฟโชยควันจางๆ .. เขาสวมกางเกงยีนผ้าหนังไก่ยี่ห้อดีจากอเมริกา รัดรูปตรงเป้าถึงน่องและมาบานตั้งแต่เข่าถึงปลายขา ใช้เข็มขัดหนัง แกะลายอย่างดี ตรงหัวเข็มขัดทองเหลืองแผ่นวงรีขนาดจานรองถ้วยกาแฟฝังเงินรูปม้าพยศ เท้าสวมบูทหนังกลับ ส้นสูง.. เขาสวมเสื้อยีนผ้าหนังไก่สีคล้ายๆ กัน รัดรูปติดกระดุมเหล็กสวมทับเสื้อยืด ตรงหน้าอกเสื้อยีนปลดกระดุมออกโชว์สร้อยเส้นใหญ่ประดับด้วยเงินแยกออกมาเป็นช่อๆ คล้ายๆ ดอกจำปี ส่วนจี้เป็นรูปเกือกม้าห้อยอยู่เกือบกลางพุง ตรงข้อมือมีกำไลเงินฝังหินสีฟ้าอมดำเม็ดโตผิวลื่นเป็นมันแวววับ อีกข้างคล้ายกันแต่ตรงกลางถูกติดด้วยเรือนนาฬิกาข้อมือสั่งทำพิเศษ แหวนเงินรูปงูม้วนตัวรอบเม็ดหินสีเขียวอมดำถูกสวมไว้ตรงนิ้วนางข้างขวา..
ผมของเขาหยักโสก ตรงปลายหยิก ยาวลงมาเกือบสะเอว ถูกมัดรวมไว้เป็นระเบียบ ใบหน้าดูน่าเกรงขาม ผิวขาวอมเหลืองบางๆ สายตาถูกซ่อนไว้หลังแว่นสีชา ขอบแว่นสีเงินรูปไข่ ขาสปริงม้วนเกี่ยวไว้กับใบหู..
ถัดไปจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่มีเป้อย่างดี ใบใหญ่ถูกใส่สัมภาระไว้เต็ม แน่น.. ติดกันเป็นกระเป๋ากีตาร์สีดำถูกวางไว้บนพื้น.. ท่าเรือมหาดไทยขวักไขว่ไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา นักศึกษา คนทำงาน กรรมกร และขาจรต่างๆ บ้างเดินผ่านไปมา บ้างยืนรอเรือโดยสารไปยังแหล่งอื่นๆ ทุกๆ สายตาจำต้องแอบมองมายังเขา บางคนเพ่งมองเขาเสียนานจนเขารู้สึก แต่ไม่ได้สนใจไยดีอะไร เขายังนั่งยืดขา บางครั้งกระดิกเท้าเบาๆ ให้พอเป็นจังหวะ..
ฟ้าเหนือเมืองกรุงเริ่มถูกกลืนกินด้วยความมืด ตรงริมขอบฟ้าฝั่งตะวันตกถูกแสงสีส้มทาบทาบางๆ ก้อนเมฆสีหม่นกระจัดกระจายอยู่ปลายฟ้า นกฝูงหนึ่งบินผ่านผืนฟ้าทางทิศเหนือ ไฟจากตึกสูงๆ เริ่มสว่างไสว เสียงรถราบนท้องถนนยิ่งโกลาหลฟังไม่ได้ศัพท์ เรือโดยสารเที่ยวสุดท้ายเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ท่าเรือมหาดไทยเริ่มมีคนเบาบาง แต่ตรงทางเดินยังเนืองแน่น สวนทางกันไปมา ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว บ้างมาเป็นคู่ ชายหญิง จับมือถือแขน ยังอยู่ในชุดนักศึกษา สะพายเป้ที่อาจอัดแน่นไปด้วยตำราเรียนหรือ..? บ้างเป็นกลุ่มคนหนุ่มที่มาในชุดเสื้อฟุตบอลกางเกงขาสั้น พวกเขาอาจตรงไปยังสนามกีฬาหัวหมาก.. ร้านรวงต่างๆ ในซอยยิ่งคึกคักกว่ายามเย็น เด็กหนุ่มสาวหลายคนเริ่มทยอยลงมาจากหอพัก บ้างยังอยู่ในชุดนอน บางส่วนอาบน้ำแต่งตัวลงมาเรียบร้อย แต่งหน้าแต่งตาพร้อมจะมุ่งหน้าไปไหนสักที่..? ในค่ำคืนนี้
รถเก๋งคันหรูสามสี่คันแวะเวียนเข้ามาตรงลานหน้าหอพักนักศึกษา จอดรออยู่สักครู่ ก่อนน้องสาวนุ่งสั้นใส่เสื้อรัดรูป หิ้วกระเป๋าหนังอย่างดี เดินด้วยรองเท้าหนังส้นสูงลงมาเปิดประตูเข้าไปนั่ง.. แล้วรถเก๋งคันงามก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป คันอื่นๆ ที่เข้ามาก็มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน..
จิกโก๋ผมยาวหลายคนเริ่มทยอยลงลิฟต์หอพักมานั่งทานมื้อเย็น..? หน้าตาแต่ละคนยังงัวเงีย บางคนในตาแดงก่ำ ผมเผ้ารึงรัง..นั่งกินข้าวกันอยู่เป็นกลุ่ม เสร็จก็แวะร้านค้า ซื้อบุหรี่ โค้กขวดใหญ่ และน้ำแข็งถุงกิโล หอบหิ้วขึ้นลิฟต์กลับห้องไป..
เด็กหนุ่มบางคนลงมานั่งที่โต๊ะถัดไปจากที่เขากำลังนั่งอยู่ ควักคอมพิวเตอร์แบบพกพาจากในเป้ขึ้นมาเปิดดู เลื่อนอุปกรณ์บางอย่างที่ต่อพ่วงกับตัวเครื่องไปมา หน้าตาดูเคร่งเครียด และจดจ่ออยู่แต่หน้าจอ เขาพยายามแง้มหน้าไปดูตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเด็กหนุ่ม เห็นตัวการ์ตูนสองตัวบนหน้าจอกำลังต่อสู้แลกวิทยายุทธ์กันอย่างเมามัน เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเขา ยังเลื่อนอุปกรณ์ต่อพ่วงไปมาอย่างชำนาญ มืออีกด้านกดปุ่มตรงแป้นพิมพ์ไปมา.. เขามองเด็กหนุ่มอยู่พักใหญ่ ก่อนหันมองรอบๆ เห็นร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ๆ อัดแน่นไปด้วยเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่บนเก้าอี้รูปทรงประหลาด หัวถูกครอบไว้ด้วยหูฟังอันใหญ่ ขณะสายตาเพ่งเล็งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือทั้งสองข้างไม่เป็นอันว่าง..เขาพอเข้าใจสถานการณ์..
ฟ้าทั้งผืนมืดมิด.. ตรงริมขอบฟ้ารอบด้านถูกแสงจากเมืองใหญ่โลมเลียขึ้นเป็นทางบดบังดวงดาวหลายดวงที่ทอแสงริบรี่อยู่ไกลๆ จันทร์ข้างขึ้นทอแสงบางๆ มองไปไกลเห็นเพียงแสงไฟจากตึกสูงๆ สลับซับซ้อนกัน เสียงรถรายังโกลาหล ท่อไอเสียรถบรรทุกบางคันกระหึ่มเสียงอยู่ใกล้ๆ สลับกับเสียงแตร กลิ่นคลุ้งจากน่านน้ำในคลองแสนแสบโชยมากับสายลมบางๆ เกลียวคลื่นในคลองยังคงม้วนตัวเบาๆ ซัดเข้าหาฝั่งคอนกรีต ผู้คนยังขวักไขว่ไปมากันชุลมุน..
เขายังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวเดิม เขานัดเพื่อนสนิทคนหนึ่งเอาไว้ นานแล้วไม่ได้เจอะเจอกัน ตั้งแต่เขาตัดสินใจย้ายออกจากหอพักย่านนี้เมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว เขาและเพื่อนคนนั้นขึ้นมาเรียนมหา’ลัยแห่งหนึ่งในย่านนี้ ป่านนี้เพื่อนของเขาคงเกือบสำเร็จการศึกษาแล้ว เวลาสี่ปีมันไม่นานสักเท่าไหร่.. เขายังจำได้ดีอยู่หรอกเมื่อแรกเริ่มที่เดินทางเข้ามาเมืองกรุง เข้ามากันสองคน โดยสารรถไฟขึ้นมาจากปักษ์ใต้ หอบหิ้วข้าวของมามากมาย ถึงวันที่สมัครเรียน เริ่มเข้าเรียน จนถึงวันสอบปลายภาคในปีแรก เขาต่างตั้งใจมุ่งมั่นและทำตามความคาดหวังที่ดั้นด้นมา.. จนเมื่อเริ่มเข้าปีที่สอง บางอย่างเปลี่ยนไป เขาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะหอบหิ้วกระเป๋าเดินออกจากตรงนี้ไป ทิ้งเพื่อนเขาไว้เดียวดาย..
เวลา 21.30 น. ชายหนุ่มคนหนึ่งแหวกม่านฝูงชนเดินตรงมา เขาฉีกรอยยิ้มออกบางๆ เขาจำชายคนนั้นได้ดี เกือบสี่ปีที่แล้วยังผมสั้นเกรียนเหมือนๆ กัน หลายปีไม่เจอหน้า ชายหนุ่มคนนั้นกลับปล่อยผมตรงยาวจนถึงสะโพก หนวดและเคราพองามเหมาะเจาะกับรูปหน้า สวมเสื้อกล้ามสีขาว มีสร้อยคอลูกปัดหลากสีห้อยลงมาเกือบปลายหน้าอก นุ่งกางเกงขาก๊วยสีดำจืดๆ สวมรองเท้าแตะสีขาว สะพายย่าม.. เขารีบลุกขึ้นมาจับมือให้สลามทักทายตามแบบอย่างมุสลิม.. "ไปอยู่ไหนมา" เพื่อนของเขาทักทาย ขณะดึงเก้าอี้ออกมาเตรียมหย่อนก้นลงนั่ง.. "เพิ่งกลับมาจากยุโรป..เมื่อเช้า" เขาถอดแว่นสีชาออก วางไว้ข้างถ้วยกาแฟ.. สีหน้าเพื่อนของเขางงๆ กับคำตอบที่ได้ กาแฟที่ใหม่ถูกสั่งมาวางตรงหน้าสหายทั้งสอง ผู้คนตรงริมทางเท้ายังเดินขวักไขว่เช่นเดิม ร้านกาแฟสลับลูกค้ามากหน้าหลายตา เสียงจอแจจากข้างบนหอพักดั่งสนั่นกว่าช่วงเย็น สองสหายนั่งคุยสับเพเหระ.. "ตกลงแกจะกลับมาทำเรื่องรักษาสภาพนักศึกษาไหมวะ" เพื่อนของเขาเอ่ยถาม "คงยังหรอก.. รอบนี้กะจะมาเยี่ยมแกเฉยๆ พรุ่งนี้จะลงไปกระบี่ ฉันกำลังจะเปิดร้านกาแฟกับเพื่อนฝูงอยู่ที่นั่น ว่างๆ แกค่อยลงไปเยี่ยมแล้วกัน.."
เวลาเลยไปจนเกือบเที่ยงคืน ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ๆ ยิ่งคึกคัก ด้วยเด็กหนุ่มที่ยังอัดแน่นไม่ว่างเว้น ริมทางเท้าฝั่งคลองแสนแสบเริ่มวาย ไม่พลุกพล่านเหมือนตอนกลางวัน เสียงรถราบนท้องถนนยังโกลาหลสิ้นดี ลมโชยมาเบาบาง ขณะ ดวงจันทร์เหนือท้องฟ้าเมืองกรุงดูหมองๆ แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องยังเจิดจ้า.. กลิ่นเหม็นชวนสำรอกจากกองขยะใต้สะพานมหาดไทยเริ่มโชยมากับสายลมบางๆ .. เขากับเพื่อนสะพายเป้และกีตาร์ เดินออกจากร้าน..
..............................................
มีนาคม 2554, เรือนศิลป์กะรักษ์
ยังไม่ได้อ่านน่ะ แต่ขอชื่นชมก่อน เจ๋งมากๆเลยพี่ริน
ตอบลบอ่านจบแล้วจ้า ... ชื่นชมๆ นะ
ตอบลบมารียา